24 มิถุนายน 2025

บุรีรัมย์ ผู้เสียหายสุดงงอัยการสั่งฟ้องสาวแสบอ้างเป็นทูตตุ๋นไปออสเตรเลียสูญกว่า 10 ล้านแค่คนเดียวทั้งที่ทำเป็นขบวนการ

แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เกือบ 100 คน ที่ถูกสาวแสบอ้างเป็น จนท.สถานทูต รวมหัวกับพ่อแม่ตายาย แฟน และอดีตรองปลัด อบต. ตุ๋นไปทำงานออสเตรเลีย สูญกว่า 10 ล้าน ที่เดินทางมารอฟังคำตัดสินศาล สุดงงอัยการสั่งฟ้องแค่คนเดียว ทั้งที่ทำเป็นขบวนการพ่อแม่ ตายายแฟน มีส่วนหลอกลวงชักชวน และถ่ายเททรัพย์สินให้ ขณะศาลเลื่อนนัดฟังคำพิพากษา 20 ส.ค.68

จากกรณีที่แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เกือบ 100 คน เข้าแจ้งความที่ สภ.พุทไธสง ให้เอาผิดกับ น.ส.ธมลวรรณ หรือ ออย อายุ 28 ปี ซึ่งแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตออสเตรเลีย ได้ร่วมกับ พ่อซึ่งเป็นอดีตรองนายก อบต. แม่ ตายาย แฟน และอดีตรองปลัด อบต. รวม 7 คน หลอกลวงจะพาไปทำงานภาคเกษตร และโรงแรม ที่ประเทศออสเตรเลีย โดยอ้างว่ามีค่าแรงสูงถึงหลักแสนบาท โดยได้เรียกเก็บค่าดำเนินการจากแรงงานที่หลงเชื่อ รายละ 60,000 – 120,000 บาท รวมเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท แต่พอวันที่ 4 ม.ค.2568 น.ส.ออย กลับหลอกให้ผู้เสียหายที่หลงเชื่อ ไปรอที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วปล่อยลอยแพ ไม่ได้บินไปทำงานออสเตรเลียจริงตามที่กล่าวอ้าง แล้ว น.ส.ออย ก็หายตัวไป

กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 22 ม.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ได้จับกุม น.ส.ธมลวรรณ หรือออย ตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ 22/2568 ในฐานความผิด “ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปทำงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” ในท้องที่นครบาล ก่อนจะควบคุมตัวมาที่ สภ.พุทไธสง ท้องที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ล่าสุดวันนี้ (4 มิ.ย.68) ผู้เสียหายพร้อมทนายความอาสา จากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งจำเลย ได้เดินทางไปยังศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อฟังคำพิพากษา แต่วันนี้ศาลยังไม่ได้อ่านคำพิพากษา เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการสบเสาะความประพฤติจำเลย เพื่อใช้เป็นดุลยพินิจของการกำหนดโทษ และได้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลอีกครั้งในวันที่ 20 สิงหาคม 2568
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกแปลกใจและกังวลจะไม่ได้รับความเป็นธรรม คือ ทางอัยการได้สั่งฟ้องแค่ น.ส.ออย เพียงคนเดียว ทั้งที่ผู้เสียหายให้ข้อมูลยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตลอดว่าพ่อ แม่ ตา ยาย แฟน และอดีตรองปลัด อบต. รวม 7 คน มีส่วนร่วมในการกระทำผิดในคดีดังกล่าวด้วย และเชื่อว่าทรัพย์สินที่ได้จากการเรียกรับจากผู้เสียหายได้ถ่ายเทให้กับคนในครอบครัว แต่ น.ส.ออย กลับยอมรับผิดคนเดียว ทั้งอ้างว่าเงินที่ได้นำไปซื้อของกระเป๋า เครื่องสำอางแบรนเนม และเทรดทองหมดแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่เชื่อน่าจะวางแผนเตรียมการไว้หมดแล้ว

นางราตรี และนางนิ่มนวน ผู้เสียหาย บอกว่า รู้สึกคาใจว่าทำไมอัยการที่สั่งฟ้องแค่ น.ส.ออย คนเดียว ทั้งที่มีผู้ร่วมกระทำผิดทั้งหมด 7 คน โดยเฉพาะพ่อแม่มีส่วนร่วมชักชวนโน้มน้าวให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และเชื่อว่าทรัพย์สินที่หลอกผู้เสียหายไปถ่ายเทให้คนในครอบครัว ที่สำคัญวันนี้ น.ส.ออย แม้จะยังอยู่ในเรือนจำแต่ดูเหมือนไม่ได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ มาขึ้นศาลยังเห็นแต่งหน้าทาปากมาหน้าตาสดใสไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ขณะที่ผู้เสียหายทุกข์คนหน้าดำคร่ำเครียด เพราะต้องเป็นหนี้เป็นสินที่ถูกหลอก ก็อยากจะขอความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายด้วย อยากให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษและอยากได้เงินคืน เพราะทุกข์คนเดือดร้อนมาก

นายดรินทร์ ชาญณรงค์ ทนายอาสา กล่าวว่า วันนี้ศาลยังไม่มีการตัดสินคดีเนื่องจากอยู่ในขั้นตอนของการพินิจสืบเสาะความประพฤติของจำเลย เพื่อใช้เป็นดุลยพินิจของการกำหนดโทษ ที่จะพิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งศาลได้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษา เป็นวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ส่วนกรณีที่ทางอัยการมีการสั่งฟ้องจำเลยเพียงคนเดียว คือ น.ส.ออย นั้น ทำให้ผู้เสียหายที่ยืนยันและให้การกับตำรวจมาตลอดว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด 7 คน ประกอบด้วย น.ส.ออย พ่อ แม่ ตา ยาย แฟนออย และอดีตรองปลัด อบต. ด้วยนั้น กรณีนี้ทางทนายก็จะดำเนินการสอบถามเรื่องนี้ไปทางสำนักงานอัยการ เพราะคดีนี้ทางอัยการไม่ได้ฟ้องร่วมกัน เหตุผลเนื่องจากยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง แต่หากไม่มีการสั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ก็ยังสามารถฟ้องเพิ่มได้ ส่วนเรื่องการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องรอศาลมีคำพิพากษา แล้วถึงจะดำเนินการเรื่องสืบทรัพย์ตามขั้นตอนอีกครั้ง