ข่าวสังคม

ลุงพล พร้อมทนายชุดใหม่ ลุยทวงความยุติธรรมต่อว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดี

ลุงพล พร้อมทนายความชุดใหม่ พร้อมลุยทวงความยุติธรรมต่อว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดีน้องชมพู่โดยศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดสืบพยานโจกท์และจำเลย นัดแรกวันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2565

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 8 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทั้งแม่น้องชมพู่และลุงพลเดินออกมาจากศาลพร้อมทนายความ ชี้ตรวจพยานหลักฐานคดีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เป็นที่เสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลจังหวัดมุกดาหารนัดสืบพยานโจกท์และจำเลย นัดแรกวันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม โดยวันที่ 30 มิถุนายน สืบพยานโจทก์ ส่วนวันที่ 1 กรกฎาคม สืบพยานจำเลย

ด้านนายไชยพล วิภา หรือลุงพล เปิดตัวทนายชุดใหม่และให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า ชี้เป็นคณะทนายความจากสำนักกฎหมาย ธรรมรังสี นำโดยนายสุรชัย ชินชัย เชื่อมั่นในทีมทนายความชุดใหม่ ลั่นขอโทษทีมทนายชุดเก่าที่ตัดพ้อน้อยใจตนก่อนหน้านี้ ยันทำเต็มที่แล้ว และขอขอบคุณทั้งทนายษิทรา ทนายรัชพล และทนายอาคม ที่ช่วยว่าความคดีให้เขาที่ผ่านมา ต่อจากนี้จะลุยทวงความยุติธรรมต่อว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดี

ขณะที่นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความชุดใหม่ เชื่อลุงพลและป้าแต๋นเป็นผู้บริสุทธิ์ สันนิษฐานน้องชมพู่เดินหลงป่าก่อนพบเป็นศพ โดยลุงพลไม่มีส่วนเอี่ยวการเสียชีวิต ชี้ไม่หวั่นกระแสโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ ยันช่วยว่าความตรงไปตรงมาตามหลักฐานที่พบ

นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความชุดใหม่ กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ได้ประกบพยานกัน ส่วนใหญ่พยานโจทก์ก็เป็นพยานแวดล้อม ก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ และขณะพบศพ ส่วนแนวทางการต่อสู้ของจำเลย นอกจากจะต่อสู้แบบคดีอาญาทั่วไป ต่อสู้ในข้อเท็จจริง ตอนน้อยหาย เราอ้างที่อยู่ เรามีพยานบุคคลพบเห็นเรา ช่วงวันที่ 11-12-13 และ 14 เรามีประจักรพยานที่อ้างอิงได้ คือข้อเท็จจริงที่สู้ในฐานที่อยู่ และจะสู้เรื่องข้อกฎหมาย คือการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการสอบสวนในข้อกฏหมายที่เราต่อสู้ไว้ คดีนี้เป็นคดีพิเศษคือ ไม่มีประจักรพยาน เราทำลายล้างนิติวิทยาศาสตร์ของฝ่ายโจทก์ด้วย ก็เป็นข้อต่อสู้ของจำเลยทั้ง 2 คน เอามาต่อสู้หักล้างพยานโจทก์

ส่วนพยานนิติวิทยาศาสตร์ที่แยกได้มี 2 ประเด็นคือ ประเด็นเกี่ยวกับเครื่องซินโคตรอน เป็นเครื่องมือขยาย เพื่อให้ทราบถึงวัตถุตรวจสอบว่าเป็นของใคร ส่วนเส้นผมที่พบในรถยนต์ของจำเลยมาได้อย่างไร แล้วจะมีวิธีเชื่อมต่อกันอย่างไร อันนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องหักล้าง

นอกจากนี้การตรวจพิสูจน์ศพ ชัดเจนว่าน้องชมพู่ไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย ไม่มีบาดแผลขีดข่วน ตามสภาพของการเดินป่า นอกจากนี้ไม่มี DNA ของฝ่ายจำเลยในการชันสูจน์ศพน้องชมพู่ การที่ฆาตรกรจะทำร้ายคน โดยหลักแล้วจะต้องมีความแค้นส่วนตัว โกรธแค้นหลัก ๆ มี 3 อย่าง ที่จะฆ่ากันได้ คือ แย่งที่ดิน แย่งสังวาสคือรักกัน ชอบกันทางเพศ และแค้นบารมี ผู้ตายเขาเป็นเด็ก จำเลยทั้ง 2 เป็นลุงกับป้า ทั้ง 3 ข้อนี้ไม่น่าจะมีเจตนา ไม่มีในจิตใจของจำเลยทั้ง 2 คน ไม่มีเหตุจูงใจ 3 ข้อนี้เลย วิเคราะห์แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็เลยนำเสนอต่อศาลอีกทางหนึ่ง เป็นไปได้คือน้องเดินหลงป่าเอง โดยมีหมานำหน้าไป คือหมาปลาส้ม ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีเกิดขึ้นแต่น้องคนเดียว เกิดขึ้นหลายเคส อายุก็ไล่ ๆ กัน เดินหลงป่าไปโดยมีสุนัขนำทางก็มี ก็เกิดขึ้นในสภาพป่า ไม่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นมาแล้วแต่น้องกลับไม่ได้ในเวลา 2-3 วัน เพราะว่าภูมิประเทศ หรือการหลงป่าเที่ยวนั้นไม่มีน้ำ อาหารประทังชีวิตได้ แต่ภูเหล็กไฟไม่มีแหล่งน้ำ บางอย่างเป็นไปได้ ทำให้น้องเดินหลงป่าตามสุนัข เสร็จแล้วน้องหาทางกลับบ้านไม่ได้ แล้วในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต เชื่อว่าเป็นไปได้ น้องหายไป 4 วัน คาดคะเณย์ว่าเสียชีวิตวันที่ 13 ก็แสดงว่าต้องเดินหลงป่าไปอย่างน้อย 24-36 ชั่วโมง นี่เป็นการเปิดทางกว้างว่า เป็นการต่อสู้เรื่องเด็กหลงป่าโดยมีสุนัขนำทาง นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความชุดใหม่ กล่าว…


ในส่วนนัดสืบพยานคดีน้องชมพู่ วันที่ 30 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม พบฝ่ายโจทก์มีพยานทั้งหมดประมาณ 60 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยมีพยานทั้งหมด 29 ปาก