
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 27 มิถุนายน นพ.นพรัตน์ พันธุเศรษฐ์ ผอ.เขต สนง.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 8 อุดรธานี พร้อมคณะ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.ดิษฐวัฒน์ ถาวรสินพงษ์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ว่า มีคลินิกเอกชนที่ร่วมเป็นหน่วยบริการนวัตกรรม “30 บาทรักษาทุกที่” ที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สปสช. เขต 8 อุดรธานี ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทาง สปสช. กำหนด หลังรับเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ตรวจสอบ พบหลักฐานส่งเบิกจ่ายค่าบริการเป็นเท็จ ไม่พบหลักฐานการให้บริการจริง ทั้งในและนอกพื้นที่ โดยมีเอกสารการสอบปากคำ ผู้ถูกกล่าวหาและประชาชนในพื้นที่เป็นหลักฐาน
นพ.นพรัตน์ฯ เปิดเผยว่า โครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” เริ่มดำเนินการครอบคลุมทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2568 มี 7 บริการหลักได้แก่ ร้านขายยาสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ, คลินิกพยาบาล, คลินิกเทคนิคการแพทย์, คลินิกกายภาพบำบัด, คลินิกทันตกรรม, คลินิกเวชกรรม และคลินิกการแพทย์แผนไทย เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการตรวจสอบพบว่า คลินิกการแพทย์แผนไทย ที่ให้บริการ นวด ประคบ อบสมุนไพร เพื่อการรักษา ในพื้นที่ มีการส่งข้อมูลการให้บริการเข้าระบบมามากกว่าปกติ เมื่อมีการตรวจสอบก็พบมูลความจริง สอบถามประชาชนในพื้นที่ก็ทราบว่าไม่ได้ให้การบริการ







โดยที่ผ่านมาได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนผู้รับบริการ โดยพบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการดำเนินกิจการ ที่อาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายได้ และที่สำคัญเป็นการส่งผลกระทบโดยตรง ต่อสิทธิของประชาชนผู้รับบริการ ดังนั้นจึงได้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือ ร้องทุกข์ กล่าวโทษให้ดำเนินคดีทางอาญากับบุคคลผู้กระทำผิด เบื้องต้นได้แจ้งความไปแล้วในพื้นที่ อ.พังโคน จ.สกลนคร และวันนี้ยังมีคลินิกเอกชนอีก 3 แห่ง ในพื้นที่ สภ.เมืองอุดรธานี ,สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และ สภ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู จึงเป็นที่มาของการเข้าแจ้งความในวันนี้
นพ.นพรัตน์ฯ เปิดเผยอีกว่า จากการตรวจสอบคลินิกทั้ง 3 แห่ง พบว่าการประพฤติมิชอบ ประกอบด้วย ไม่มีการจัดบริการนวดแพทย์ไทยจริง ให้บริการนอกสถานที่ตั้ง ไม่มีการรักษาโรค วันเวลาที่ให้บริการไม่ตรงตามที่ขออนุญาต เอกสารหลักฐานที่ขอเข้าตรวจสอบพบไม่ครบถ้วน โดย สปสช. มีขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบ กับหน่วยบริการที่พบว่ามีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่ 1.เรียกคืนค่าใช้จ่ายที่หน่วยบริการได้รับ
2.ระงับหรือชะลอการจ่ายค่าใช้จ่ายที่หน่วยบริการมีสิทธิได้รับ 3.ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีทางอาญากับบุคคลผู้กระทำผิด 4.แจ้งสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการต่อผู้ประกอบวิชาชีพ และ 5.พิจารณาว่าหน่วยบริการนั้นกระทำผิดสัญญาให้บริการสาธารณสุขหรือไม่
“จากการกระทำดังกล่าวของคลินิกทั้ง 3 แห่ง รวมเป็นมูลค่าการเบิกจ่ายกองทุนบัตรทอง ทั้งสิ้นจำนวน 7,115,520 บาท โดยแบ่งเป็นคลินิกที่แรก 3,974,720 บาท และคลินิกที่สอง (อ.เมืองอุดรธานี คลินิกแถวบ้านถ่อน) 1,611,200 บาท คลินิกที่ 1,529,600 บาท ทำให้ สปสช. ได้รับความเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมา สปสช.เขต 8 ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้วรวม 5 แห่ง ในพื้นที่จังหวัด อุดรธานี หนองคาย สกลนคร หนองบัวลำภู หลังจากนี้ สปสช. จะขยายการตรวจสอบคลินิกต่างๆ ในระบบที่พบข้อมูลการเบิกจ่ายมีความผิดปกติต่อไป ซึ่งยังพบว่ามีคลินิกอีกหลายแห่งที่มีพฤติกรรมแบบนี้”
นพ.นพรัตน์ฯ เน้นย้ำอีกว่า สปสช. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพ เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อพฤติกรรม บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบบบัตรทองได้ และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของระบบบริการสุขภาพ ที่ประชาชนพึ่งพาได้ สปสช.จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน และสร้างมาตรฐานที่โปร่งใส ในระบบบริการสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งนี้ สปสช.เขต 8 อุดรธานี จะติดตามความคืบหน้าคดีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำอีก