นักธุรกิจสาวชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ สุดงงไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้าไม่ทันข้ามวัน กลับถึงบ้านสายปริศนาอ้างเป็น ตร. โทรเข้ามือถือบอกมีชื่อเกี่ยวข้องคดีฟอกเงิน 14 ล้าน แต่เจ้าตัวไหวพริบดีไม่หลงเชื่อแถมแคปหน้าจอบันทึกเสียงสนทนาไว้เป็นหลักฐาน เผยแปลกใจข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลทั้งที่เพิ่งจดทะเบียนวันเดียว เตือน ปชช.อย่าหลงเชื่อกลลวงมิจฉาชีพอาจสูญเสียทรัพย์สิน





วันที่ 1 ส.ค. 2566 นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี นักธุรกิจสาวชาวอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำหลักฐานคลิปเสียงการสนทนา และเอกสารต่างๆ ที่แก๊งมิจฉาชีพอุปโหลกแอบอ้างขึ้น ออกมาเตือนภัยผ่านสื่อ หลังไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้า แบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ยังไม่ทันข้ามวัน พอเดินทางกลับถึงบ้าน ก็มีเบอร์ปริศนาอ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.แห่งหนึ่ง ที่ จ.นครราชสีมา โทรเข้าเบอร์มือถือ บอกว่ามีชื่อเกี่ยวข้องคดีฟอกเงิน 14 ล้านบาท แต่ด้วยความที่มีสติและไหวพริบดี จึงทำเนียนพูดคุยกับสายปริศนาดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมา แล้วแอบบันทึกเสียงสนทนาไว้ พร้อมแคปภาพหน้าจอไว้เป็นหลักฐานด้วย

โดย น.ส.เอ เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.66 ที่ผ่านมา ได้ไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้า แบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดบุรีรัมย์ แต่พอเดินทางกลับถึงบ้านซึ่งยังไม่ทันข้ามวันเลย ก็มีเบอร์โทรศัพท์ที่ตนเองไม่คุ้นโทรเข้ามือถือ แต่ก็รับสายตามปกติ จากนั้นปลายทางก็อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่งจากสำนักงานใหญ่ บอกว่า ตนได้ค้างค่าบัตรเครดิตจำนวนกว่า 80,000 บาท แต่ตนไม่เคยทำบัตรเครดิตจึงมั่นใจว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์แน่นอน ก็เลยทำเนียนคุยไปเรื่อย จากนั้นก็โอนสายต่อให้อีกคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจที่ จ.นครราชสีมา แล้วก็ให้แชทคุยในกลุ่มไลน์ โดยมีรูปผู้ชายแต่งเครื่องแบบตำรวจโชว์ในไลน์ด้วย ซึ่งคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจก็ยังบอกว่าตนเองมีชื่อเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินกว่า 14 ล้านบาท พร้อมทั้งส่งหมายศาลที่ปลอมขึ้นมาให้ดู แถมยังบอกว่าหากอยากให้ช่วยเหลือให้โอนเงินไปเป็นค่าดำเนินการ 30,000 บาท แต่ตนไม่หลงเชื่อแค่ทำเนียนพูดคุยด้วยเพื่อบันทึกเสียง และแคปหน้าจอการสนทนาไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น แต่ระมัดระวังเรื่องเอกสาร และการทำธุรกรรมต่างๆ มาก แต่ก็แปลกใจว่าตนพอไปจดทะเบียนการค้าได้เพียงวันเดียว ก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหา ไม่รู้ว่าข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าครั้งนี้ตนจะยังไม่ตกเป็นเหยื่อหรือสูญเสียเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ข้อมูลที่รั่วไหลออกไปก็เกรงจะส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต เพราะไม่รู้ว่าเขาจะเอาข้อมูลไปทำอย่างอื่นหรือไม่ อย่างไรก็ตามก็อยากฝากเตือนภัยบรรดาพ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจ หรือประชาชนว่าถ้ามีสายปริศนาในลักษณะดังกล่าวโทรมา อย่าไปหลงเชื่อหากไม่ได้ทำอะไรผิดตามที่เขากล่าวอ้าง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อสูญเสียทรัพย์สิน เพราะทุกวันนี้มิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ