ชาวนากาฬสินธุ์ฮิตใช้เครื่องทำนาหยอดแห้งประหยัดเงิน

พบชาวนาอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ค้นพบวิธีการทำนาปรังแบบใหม่ โดยใช้เครื่องหยอดเมล็ดข้าวเปลือก ที่ได้จากนวัตกรรมภูมิปัญญาช่างท้องถิ่น นำมาติดตั้งกับรถไถนาเดินตาม แล้วทำการหยอดแห้ง เผยเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สะดวก รวดเร็ว พื้นที่ 5 ไร่ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงแล้วเสร็จ ใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 30 กก. ประหยัดกว่าการทำนาหว่านหรือนาดำหลายเท่าตัว

 วันที่ 16 ธันวาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการทำนาปรัง ของชาวนา จ.กาฬสินธุ์ ในพื้นที่รับน้ำชลประทานลำปาว หลังทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ระบายน้ำเพื่อการเกษตรกรรมในฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่าได้ลงมือไถ คราด และเพาะปลูกกันแล้ว

  นายนิวาส คำฤาเดช ชาวนาบ้านตูม ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า วิธีการทำนาของชาวนาในทุกวันนี้นิยมทำนาหว่าน ซึ่งมีทั้งหว่านตมและหว่านแห้ง เพราะสะดวก รวดเร็วและประหยัดกว่าการทำนาดำ เนื่องจากการทำนาดำต้องทำหลายขั้นตอน เช่น หว่านเมล็ดพันธุ์ ถอนกล้า นำไปปักดำ ซึ่งต้องใช้แรงงาน ทำให้สิ้นเปลืองรายจ่ายในการถอนต้นกล้าและปักดำเป็นจำนวนมาก หากรวมค่าปุ๋ย ค่าแรงงาน ค่ารถไถ คราด เฉลี่ยไร่ต้นทุนการทำนาดำตกไร่ละไม่ต่ำกว่า 5 พันบาททีเดียว จึงสู้ทำนาหว่านไม่ได้ คือหว่านครั้งเดียวจบ รอเก็บเกี่ยวอย่างเดียว

นายนิวาสกล่าวอีกว่า การทำนาหว่านมี 2 วิธี คือหว่านตมและหว่านแห้ง เมล็ดพันธุ์อาจจะใช้แบบเมล็ดแห้งหรือผ่านการบ่มเพาะโดยการแช่น้ำ จนมีรากงอกออกมานิดหน่อยก็ได้ ตามสะดวก ขณะที่การหว่านแต่เดิมใช้มือกำเมล็ดข้าวหว่าน ต่อมามีการพัฒนามาเป็นเครื่องพ่นเมล็ดพันธุ์ เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยให้การหว่านข้าวรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ระยะความห่างของเมล็ดพันธุ์และต้นข้าวเมื่องอกออกมาไม่สม่ำเสมอ ถี่บ้าง ห่างบ้าง ทำให้เสียเวลามาถอนและซ่อมแซมต้นข้าวอีก ไม่จบในครั้งเดียว จึงได้คิดหาวิธีการเพาะปลูกข้าวแบบใหม่ เพื่อทางเลือกที่ดีกว่า โดยคิดว่าหากมีเครื่องหยอดเมล็ดข้าวเปลือก ติดตั้งกับรถไถนาเดินตาม คงจะทำให้ต้นข้าวงอกสม่ำเสมอ และสะดวกกว่าการใช้มือหว่าน หรือดีกว่าใช้เครื่องพ่นเมล็ด

 นายนิวาสกล่าวเพิ่มเติมว่า จากนั้นจึงได้นำแนวคิดไปปรึกษากับช่างเชื่อมเหล็กหลายคน เพื่อให้ออกแบบและประดิษฐ์เครื่องหยอดเมล็ดข้าวเปลือก ก่อนที่จะไปพบกับช่างท้องถิ่นคนหนึ่ง ที่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งได้ใช้ภูมิปัญญาออกแบบและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จากการนำเครื่องหยอดเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากภูมิปัญญามาใช้งาน ในฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปีที่ผ่านมา ได้ผลดีมาก เช่น ทำเวลาได้รวดเร็ว ประหยัดทั้งค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ประหยัดเมล็ดพันธุ์ โดยพื้นที่ 5 ไร่ ใช้เวลาหยอดเมล็ด 3 ชั่วโมงแล้วเสร็จ ใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 30 กก. หลังจากหยอดเสร็จก็ปล่อยน้ำขังแปลงนา เพื่อให้ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะ ประมาณ 5-7 วันเริ่มเห็นเมล็ดงอก ระยะห่างเมล็ดข้าวออกสม่ำเสมอ เป็นแถว ง่ายต่อการกำจัดวัชพืชหรือพันธุ์ข้าวปลอมปน ผลผลิตใกล้เคียงกับการทำนาดำ ซึ่งเป็นผลดีกับชาวนาที่ต้องการผลผลิตข้าวคุณภาพ โดยเฉพาะสมาชิกผู้ปลูกข้าวเมล็ดพันธุ์ ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวกาฬสินธุ์

               “จากการทำนาปีด้วยเครื่องหยอด และได้ผลดีดังกล่าว ทำให้การทำนาปรังปีนี้ มีเพื่อนชาวนาหันมาทำนาหยอดเหมือนตนมากขึ้น โดยเครื่องหยอดที่นำมาติดตั้งรถไถนาเดินตาม ใช้ได้เฉพาะการทำนาหยอดแห้งเท่านั้น น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย คิดค่าจ้างราคากันเอง เพราะเห็นใจเพื่อนชาวนาด้วยกัน หากเจ้าของนาจ้างทั้งรถไถนาเดินตามและให้ตนเป็นคนขับหยอดให้ คิดราคาไร่ละ 250 บาท หรือหากรถไถนาเดินตามเป็นของเจ้าของนา และเจ้าของนาหยอดเอง คิดค่าเช่าเครื่องหยอดเพียงไร่ละ 150-200 บาทเท่านั้น  การทำนาหยอดแห้ง ด้วยเครื่องหยอดดังกล่าว จึงประหยัดทั้งเวลา ค่าจ้างแรงงาน เมล็ดพันธุ์ และรายจ่ายอื่นๆกว่าการทำนาดำหลายเท่าตัว หากเปรียบเทียบเฉพาะในพื้นที่และเวลาเท่ากัน คือพื้นที่ 5 ไร่ ทำนาหยอดใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่หากใช้แรงงานคนถอนกล้าและปัก ในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงเท่ากันดังกล่าว อาจจะต้องใช้แรงงานคนไม่ต่ำกว่า 50 คน ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าแรงคนละ 300 บาท จะต้องใช้เงินถึง 15,000 บาททีเดียว ขณะที่การใช้รถหยอดใช้แรงงานเพียง 1 คน ค่าจ้างเพียง 100-250 บาทเท่านั้น” นายนิวาสกล่าว