ผกก.หนองสองห้อง จ.บุรีรัมย์ เร่งสอบปากคำผู้เสียหาย พร้อมประสานธนาคารและรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ปมเงินที่ลูกสาว ผญบ.ฝากไว้ในธนาคารล่องหนกว่า 530,000 เจ้าตัวยันไม่ได้โอน
ความคืบหน้ากรณีที่ น.ส.เบญจวรรณ สุพะนาม อายุ 35 ปี ลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน บ้านโคกกลาง ต.เมืองฝาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ว่าเงินที่ฝากสะสมไว้ในบัญชีธนาคารถูกโอนออกจากบัญชีอย่างเป็นปริศนารวมจำนวน 530,000 บาท เหลือเงินติดในบัญชีแค่ 33,000 บาทเท่านั้น โดย น.ส.เบญจวรรณ ให้ข้อมูลว่า สามีไปทำงานที่ประเทศเกาหลี เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกๆ จะส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้จ่ายเดือนละประมาณ 40,000 บาท โดยโอนเข้าธนาคารกรุงเทพ ของแม่ ผ่านไปประมาณ 2 ปี สามี ได้เปลี่ยนให้โอนเงินเข้าบัญชีของ น.ส.เบญจวรรณ ภรรยา เอง ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทย เพื่อเก็บสะสมไว้สร้างบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเงินที่สามีส่งมาจะเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยตลอด ซึ่งสามีได้ส่งเงินมาเพิ่มเรื่อยๆ มากสุดเดือนละ 80,000 บาท และทุกครั้งที่เงินเข้าบัญชี หลังหักค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าส่งงวดรถเดือนละ 22,000 บาท ตนจะโอนผ่านแอปในมือถือ เข้าธนาคารธนชาติ ที่เปิดไว้อีกบัญชีหนึ่ง เพื่อออมไว้สร้างบ้านตามที่สามีบอก


กระทั่งมีเงินฝากในบัญชีธนาคารธนชาติกว่า 560,000 บาท ต่อมาน้าสาวมาขอยืมเงิน 200,000 ก็สอบถามสามีแล้วบอกว่าอนุญาตให้ยืม จากนั้นวันที่ 21 ก.ค.67 ตนกับน้าสาวก็เดินทางไปเบิกเงินที่ธนาคารธนชาติ ถึงธนาคารเอาสมุดบัญชีไปปรับพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 33,000 บาทเท่านั้น จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่าเป็นรายการโอนจากแอปของเราเองไปยังธนาคารเดิมคือธนาคารกรุงไทย ตนก็ยืนยันกับธนาคารว่าไม่ได้โอน แต่ธนาคารตอบกลับมาอีกว่าถ้าเจ้าตัวไม่ได้โอนจะต้องเป็นคนในบ้านเป็นคนโอน ตนก็แจ้งไปอีกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่โอนเงินผ่านแอปไม่เป็น หากพ่อกับแม่จะทำธุรกรรมตนจะเป็นคนโอนให้ ส่วนลูก 7 ขวบกับ 4 ขวบยิ่งเป็นไปไม่ได้
เจ้าหน้าที่ธนาคารธนชาติ ยังบอกอีกว่า ถ้าจะไปแจ้งความให้ไปปรึกษากันดีๆ ก่อน เพราะเข้าข่าย”แจ้งความเท็จ” มีโทษจำคุกตนกับน้าสาวจึงกลับบ้านเพื่อมาปรึกษากับครอบครัว จากนั้นวันที่ 22 ก.ค.จึงเดินทางไปขอ Statement กับธนาคารธนชาติและธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าเงินที่ตนโอนเข้าธนาคารธนชาติ ถูกโอนกลับมายังธนาคารกรุงไทยจริง ซึ่งเงินจากธนาคารกรุงไทย ถูกโอนผ่านแอป ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาครั้งละ 10,000-20,000 บาท บางครั้ง 30,000 บาท ไปยังบัญชีประเทศจีนและประเทศเวียดนามเป็นเงินกว่า 530,000 บาท ที่สำคัญมือถือตนก็รับข้อความแจ้งเตือนเงินเข้า-ออก แต่ทำไมเวลาที่ตนทำธุรกรรมเองมันแจ้งเตือน แต่ทำไมเงินที่ถูกโอนออกเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปีเกือบหมดบัญชีถึงไม่มีข้อความแจ้งเตือน ด้วยความมั่นใจจึงเดินทางไปแจ้งความกับตำรวจที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์
กระทั่งเวลาประมาณ 22.45 น.ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา บอกว่าเงินที่หายไปจากธนาคารธนชาตินั้น อย่าพึ่งตกใจนะมันเป็นความผิดของทางธนาคาร เดี๋ยวธนาคารจะตรวจเส้นทางการเงินของน้อง วันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 10.00-11.00 น.วันถัดไปธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีคืน แต่กลับไม่เห็นมีเงินโอนเข้ามา เครียดมากเพราะเป็นเงินเก็บไว้สร้างบ้าน จึงกินยาหวังฆ่าตัวตายไปนอน รพ.1 คืน
ล่าสุดวันนี้ (31 ก.ค.67) พ.ต.อ.อนันต์ ทองบันเทิง ผู้กำกับการ สภ.หนองสองห้อง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พร้อมพนักงานสอบสวน สภ.หนองสองห้อง ซึ่งเป็นท้องที่ที่ผู้เสียหายมีภูมิลำเนาอยู่ ก็ได้ช่วยอำนวยความสะดวก ในการสอบปากคำผู้เสียหาย จะได้ไม่ต้องเดินทางไปในตัวเมือง พร้อมกันนี้ก็จะได้ประสานทางธนาคาร พร้อมทั้งตรวจสอบแอบหรือลิงค์ต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายด้วย เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเงินในบัญชีกว่า 5 แสนบาท ถูกโอนออกไปไหนใครเป็นคนโอน เพราะมีความเป็นไปได้ทั้งตัวเจ้าของบัญชีหรือคนในบ้านอาจจะเป็นคนโอน หรือเป็นความผิดพลาดของ จนท.ธนาคาร หรือเป็นฝีมือของมิจฉาชีพใช้แอปดูดเงินหรือไม่ ก็จะเร่งตรวจพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ด้านนางประกอบ ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นแม่ของผู้เสียหาย บอกว่า ที่ผ่านมาเวลาที่ลูกเขยโอนเงินมาจากต่างประเทศให้ลูกสาว และเวลาเขาจะถอนเงินไปใช้อะไรก็จะบอกแม่ตลอด ส่วนตนกับสามีก็ทำธุรกรรมผ่านแอปในมือถือไม่เป็น จึงยืนยันว่าทั้งลูกสาว และคนในครอบครัวไม่ได้เป็นคนโอนเงินออกจากบัญชีอย่างแน่นอน ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง และติดตามเงินที่หายไปกลับคืนลูกสาวด้วย เพราะเป็นเงินที่เขาเก็บหอมรอมริบเพื่อจะสร้างบ้านสร้างครอบครัว