
วันที่ 4 ก.ย. 2567 ที่ห้องประชุม ควรเดชะคุปต์ ตำรวจภูธรภาค 4 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย นำแถลงข่าวผลการจับกุมกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่หลังสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยาบ้าได้รวม 7 ล้านเม็ดคิดเป็นมุลค่ารวมกว่า 210 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาคือ นายธีรเดช อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 3 ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งการติดตามจับกุมตัว นายธีรเดช ได้ที่บริเวณหน้า บขส.เก่า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ขณะกำลังหลบหนี














พล.ต.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ 4 กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ ได้สนธิกำลังร่วมฝ่ายปกครอง เข้าทำการตรวจสอบภายหลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ารถจักรยานยนต์ของชาวบ้านบ้านหนองคังคา ม.4 ต.หนองเดิน อ.บุ่งคล้า หาย จึงร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบหาเบาะแสของคนร้ายที่ขโมยรถจักรยานยนต์ โดยในขณะที่เดินเข้าไปในสวนยาง พบรถกระบะยี่ห้อ อีซูซุ สีเขียว 4 ประตูบรรทุกสิ่งของเต็มท้ายรถ จอดอยู่บนถนนภายในสวนยางโดยไม่ดับเครื่องยนต์ เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้นภายในรถ แต่คนขับรถอาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป จึงได้ตรวจที่เกิดเหตุ พบว่าสิ่งของที่บรรทุกในรถยนต์กระบะคันดังกล่าว เป็นยาบ้าจำนวน 7,000,000 เม็ด จึงตรวจยึดยาบ้าและรถยนต์คันดังกล่าว พร้อมทั้งตรวจค้นในรถยนต์คันดังกล่าว ไม่มีเอกสาร หลักฐานที่บ่งบอกว่าใครคือเจ้าของรถ แต่พบว่ามีบิลของร้านสะดวกซื้อ ถูกขยำทิ้งใกล้ๆจุดที่รถยนต์จอด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบตามขั้นตอนทางการสืบสวน จนพบหลักฐานว่าคนที่ซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อในวันเวลาดังกล่าว คือผู้ต้องหาที่หลบหนีไป
นายธีรเดช รับสารภาพว่า เป็นคนขับรถกระบะที่บรรทุกยาบ้าดังกล่าวจริง โดยมีการติดต่อซื้อขายกับเครือข่าย ผ่านช่องทางแมสเซนเจอร์ เฟสบุ๊ค ชื่อ “พารวย พารวย” ก่อนจะลำเลียงยาบ้าทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาส่งขายในประเทศไทย หลังการสอบสวน จึงได้แจ้งข้อหา นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บุ้งคล้า ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฏหมาย
ขณะที่ นายอนุทิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหารายดังกล่าว พบว่า เกี่ยวข้องในหลายคดี ล่าสุดก็ถูกจับในข้อหา ร่วมกันในข้อหาผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 90 และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจ่ายในกลุ่มประชาชน ร่วมกันในข้อหากระทำความผิดมาตรา 145 วรรค 1 หรือวรรค 2 และเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน
“การตรวจยึดยาบ้าในครั้งนี้ ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน จนประสบความสำเร็จ เพราะรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ต้องการปราบปรามยาสเสพติดให้หมดไป ในส่วนผู้ค้า และผู้รับจ้างขนยาเสพติดนั้น ขอเตือนว่า โทษไม่ได้แตกต่างกัน เมื่อถูกจับได้ จะถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน ในส่วนของการตรวจยึดยาบ้าจำนวน 7,000,000 เม็ดและจับกุมผู้ต้องหารายดังกล่าวนั้น ทราบว่าผู้ต้องหารับสารภาพ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหลักฐานว่า ผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับยาบ้าที่ถูกยึดได้ในครั้งนี้ และกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ ที่สามารถขยายผลจับคนร้ายจากใบเสร็จร้านสะดวกซื้อ พร้อมฝากเตือนไปถึงผู้คิดที่จะขนยาเสพติด ได้เงินค่าจ้างไม่คุ้มกับโทษหนักที่เทียบเท่าเจ้าของยาเสพติด
ยืนยันว่า ของกลางเหล่านี้ไม่สามารถเวียนกลับไปแพร่ระบาดได้ เพราะต้องเข้าสู่ขั้นตอนตรวจนับ พิสูจน์โดย ป.ป.ส. และทำบัญชีเก็บไว้โดย อย.เมื่อถึงวงรอบก็นำไปเผาทำลายตามนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งการเผาแต่ละครั้ง ของกลางมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท ขอให้มั่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่จะไม่ลดราวาศอกกับเรื่องนี้ ทุกคนตั้งใจแน่วแน่ร่วมกันว่า เป็นสิ่งที่ต้องทำลาย ที่มองกันว่า ยิ่งจับ เหมือนยิ่งเยอะ เพราะว่า ขบวนการค้ายาเสพติดส่งเข้ามาทดแทนในส่วนที่ถูกจับกุม