
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอดีตทหารพรานต้องพาเมียที่ป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อมมาอาศัยนอนที่ศาลาที่พักของ สภ.เมืองอุบลราชธานี ถูกหลานขับไล่ไม่ให้เข้าบ้านอ้างซื้อบ้านและที่ดินที่เป็นมรดกของพ่อ แม่แล้ว
นี่คือสภาพที่นอนที่ นายปรีดา ม่วงทองใบ อายุ 59 ปี อดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย ที่ถูกส่งมาประจำการที่ช่องบก เนิน 504 อ.น้ำยืน จ.อุบลฯและนางจันทา สมคบ อายุ 61 ปี พากันมานอนที่บริเวณศาลาที่พัก ของสถานีตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานี มีทั้งยุงทั้งร้อน แต่ก็ต้องอดทน

นางจันทา เปิดเผยว่า ตนเองเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย พึ่งจะมาเดินได้ช่วง 3 -4 เดือน แต่ก่อนทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่กรุงเทพฯหลังจากป่วยก็พาสามีคือนายปรีดา ม่วงทองใบ อายุ 59 ปี ที่สุขภาพก็ไม่ดี พากันเดินทางจากกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาเพื่อจะกลับมาอยู่บ้านที่ อ.นาจะหลวย และจะมารักษาตัวที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานีด้วย แต่เมื่อเดินทางมาถึงที่บ้านซึ่งเป็นบ้านของพ่อ แม่ ของตนเองที่เสียชีวิตไปแล้ว มีแต่พี่สาวกับหลานอยู่ ต่อมาพี่สาวก็มาเสียชีวิตอีก พอกลับมาถึงบ้านปรากฏว่าหลานไม่ยอมให้เข้าบ้าน แจ้งตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน กำนันมาไล่ไม่ให้เข้าบ้านหลานอ้างว่าซื้อบ้านและที่ดินหมดแล้วน้าไม่มีสิทธิเข้าบ้าน จึงได้พากันเดินทางมาอาศัยนอนที่วัดสารพัดนึกที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลสรรพสิทธิ เพราะหมอนัด มาอาศัยนอนอยู่วัด เงินก็ไม่มีติดตัวกันมา อาศัยช่วยงานวัดขอข้าววัดกิน ต่อมาทางกรรมการวัดไล่หนีไม่ให้นอนอ้างว่าเหมือนมิจฉาชีพ หน้าตาสามีเหมือนโจร ซึ่งจริงๆแล้วสามีเคยเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี สังกัดพล 1 รอ. เป็นอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย มาประจำการที่ช่องบก เนิน 504 อยู่ 4 ปี แล้วก็ลาออกไปเป็น รปภ ที่ กรุงเทพฯอยู่หลายบริษัท เมื่ออยู่วัดกรรมการวัดไม่ให้อยู่จึงได้พากันมาขอนอนที่ศาลาของ สภ.เมืองอุบลฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อนุญาตให้นอนได้ เงินก็ไม่มีติดตัว ต้องไปขอข้าววัดกิน พอได้ประทังชีวิต ส่วนเรื่องหลานอ้างสิทธิที่ดินและบ้านที่ อ.นาจะหลวย ได้ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทยไว้แล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า