
อดีตตำรวจออสเตรเลียวัย 63 ปี เออรี่รีไทน์หอบเงินเก็บทั้งชีวิต มาอยู่กับภรรยาชาวอุดรธานี ถูกหนุ่มเยอรมันที่อาศัยอยู่ในภูเก็ตหลอกลวง ชักชวนให้นำเงินไปลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล และเว็บลงทุนปลอมสูญเงินไป กว่า 1,100,000 ดอลล่าสหรัฐ หรือกว่า 40 ล้านบาท สุดช้ำใจนอนร้องไห้เกือบทุกคืน ภรรยาสุดทนจูงมือเข้าร้องเรียนทนายโนบิตะ ก่อนพาเข้าแจ้งความจับหนุ่มเยอรมันแสบรายนี้
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นายกฤษฎา โลหิตดี หรือทนายโนบิตะ นำนายไมเคิล จอร์น ไรน์คี หรือทอม อายุ 63 ปี สัญชาติออสเตรเลีย พร้อมด้วย น.ส.อารีรัตน์ หนุนยศ หรือทิพย์ อายุ 50 ปี ภรรยา ชาว อ.เมือง จ.อุดรธานี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.ผลิตอรัญ บุญมาตุ่น รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี อ้างว่าถูกชายชาวเยอรมัน อายุ 35 ปี หลอกลวงให้ลงทุนเงินดิจิตอล ในเว็บลงทุนปลอม ทำให้สูญเงินไป กว่า 1,100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 40 ล้านบาท โดยมีเอกสารหลักฐานเป็นภาพวีดีโอชักชวนลงทุน ภาพนิ่งหน้าเว็ปไซต์ที่กล่าวอ้าง และภาพใบหน้าของผู้ที่หลอกลวง

ทนายโนบิตะ เปิดเผยว่า นายทอมได้เข้าร้องเรียนว่าถูกหนุ่มเยอรมันที่อาศัยอยู่ที่ จ.ภูเก็ต หลอกลงทุนเงินสกุลดิจิตอลผ่านเว็ปยูทูปและเว็ปไซต์ของหนุ่มเยอรมันรายนี้ โดยมีข้อเสนอผลกำไรคงที่ 5 – 10 % ต่อเดือน เป็นอัตราคงที่ เมื่อนายทอมหลงเชื่อก็บอกว่าเว็ปไซต์ดังกล่าวล้มละลาย แต่ปัจจุบันเว็ปไซต์นี้ก็ยังคงอยู่ เช็คกลับที่อยู่เว็ปไซต์ที่ประเทศจอเจียร์ ก็ยังคงสถานภาพอยู่ ส่วนที่สองคือหลอกให้ไปเทรดสกุลเงินดิจิตอลในเว็ปไซต์บายบิต (bybit) ซึ่งหลอกให้ลงทุนไปเยอะมาก สุดท้ายเงินที่ลงทุนไปเหลือติดบัญชีแค่ 2 เหรียญ ทำให้นายทอมสูญเงินไปกว่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 40 ล้านบาท
ด้านนายทอม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่านล่ามว่า เมื่อเดินทางมาอยู่กับภรรยที่ไทยเมื่อประมาณ 13 ปี ที่แล้ว ก็เริ่มหาทางลงทุนหรือหาอาชีพเสริม หารายได้เพิ่มจากเงินเก็บที่มีอยู่ จนรู้จักกับชายชาวเยอรมัน ผ่านทางโฆษณาทางโซเชียล เข้าไปดูเขาในช่องยูทูป จนหลงเชื่อว่ามีการลงทุนแล้วได้ผลกำไรจริง จึงตัดสินใจเดินทางไปหาเขาที่ จ.ภูเก็ต เมื่อพูดคุยกันแล้วเกิดความเชื่อใจ ก็กลับมาปรึกษาภรรยา ๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตนจึงเริ่มพูดคุยกับเขาต่อผ่านทางโทรศัพท์และแอพพลิเคชั่น จนเริ่มโอนเงินไปลงทุนกับเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งสังเกตุว่าไม่เคยได้รับผลประโยชน์คืนกลับมา เช็คสถานะเงินบัญชีในเว็ปไซต์บายบิต ก็เหลือเพียง 2 เหรียญ
“เมื่อติดต่อกลับไปหาชายชาวเยอรมัน ตอนแรกก็บอกเว็ปไซต์ล้มละลาย และอ้างว่าโทรศัพท์มือถือของเขาหาย อาจจะมีคนได้โทรศัพท์ไป แล้วเอาไปแฮ็กข้อมูลก็ได้ จนมีการนำเงินออกไป เมื่อตนเริ่มติดตามทวงเงินคืน เขาก็เริ่มบ่ายเบี่ยง ไม่ได้มีการบล็อกช่องทางการติดต่อ แต่ติดต่อไปก็ไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด ติดต่อไม่ได้มาประมาณ 2 เดือนแล้ว จึงตัดสินเข้าร้องเรียนกับทนาย และแจ้งความเอาผิด อยากได้เงินคืนแพราะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต หลังจากเออรีรีไทร์จากอาชีพตำรวจจราจร เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนเชื่อมือทนายและตำรวจไทย ยังมีความหวังจะได้เงินกลับคืนมา ที่ออสเตรเลียก็เคยเห็นก็หลอกลวงแบบนี้ แต่ไม่หลอกกันมากขนาดนี้ แล้วก็ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตัวเอง”

น.ส.อารีรัตน์ฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สามีเคยทำงานเป็นตำรวจจาจร 3 ปี แต่ก็ขอเออรีออกมาทำธุรกิจ จนมาเจอกันที่อุดรธานี ตอนที่เขามาเที่ยว เจอกันขณะไปออกกำลังกาย จนตกลงอยู่กินกันมานาน 14 ปีแล้ว แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เมื่อเขาย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านตน ที่ ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี สามีก็หาทางจะเพิ่มรายได้จากเงินเก็บ เคยชักชวนสามีทำเกษตร แต่เขาก็ไม่ถนัด และไม่ค่อยมีเวลา สามีจึงนั่งค้นหาช่องทางหารายได้ในอินเตอร์เน็ต จนเขามาบอกว่าจะลงทุนเทรดหุ้นอย่างที่เขาว่า เขาเคยไปหาชายชาวเยอรมัน แต่ครั้งเดียวที่ จ.ภูเก็ต เมื่อ 13 ปีก่อน ทำให้สามีหลงเชื่อ
“หลังจากนั้นเขาก็โอนเงินไปลงทุนเรื่อยมา ชายชาวเยอรมัน ก็มีการส่งหลักฐานว่ามีผลกำไรอยู่ในระบบ แต่ก็ไม่เคยถอนกลับเข้าสู่ระบบธนาคารสักครั้ง จนเมื่อเดือนพฤษภาคม สามีเข้าไปดูในระบบ ก็พบว่าเงินเหลือแค่ 2 เหรียญเท่านั้น ติดต่อไปถามก็เป็นอย่างเห็น เมื่อรู้ว่าถูกหลอก สามีเสียใจมาก นอนร้องไห้เกือบทุกคืน ตนก็ได้แต่ปลอบใจสามี ให้เขาคิดบวกเอาไว้ คิดว่ายังกฎหมายก็สามารถเอาผิด และติดตามเงินกลับมาได้ คิดว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ อยากให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ต่อคนอื่น อย่าหลงเชื่อคนง่ายแบบนี้ ตอนนี้ครอบครัวทุกข์ใจมาก เงินที่เหลือก็ยังพอใช้จ่ายได้บ้าง แต่ก็ต้องประหยัดและหาทางเพิ่มรายได้ทางอื่นเข้า เพื่อเลี้ยงครอบครัวต่อไป”
เบื้องต้นตำรวจจะได้ทำการประสานตำรวจชุดสืบสวน และหน่วยงานเฉพาะกิจที่มีความชำนาญในเรื่องนี้ เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอน หากหลักฐานทุกอย่างพบว่ามีความผิดจริงและเป็นไปตามข้อกฎหมาย ก็จะดำเนินการออกหมายเรียกชายชาวเยอรมัน ผู้ถูกกล่าวหา มาให้ปากคำตามขั้นตอน หากติดต่อไม่ได้ ก็จะทำการออกหมายจับต่อไป