
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 ส.ค. 2568 ที่บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (ทีพีเอ็น – TPN) อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เป็นประธานเปิดงานพลังส่งต่อ พลังส่งออก พร้อมระบบท่อขนส่งน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ และสร้างโอกาสเป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานภูมิภาค เชื่อมไทยเชื่อมโลก ด้วยการจัดหาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีราคาที่เหมาะสม

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า กรมสรรพสามิตมี 2 หน้าที่ คือเรื่องการส่งเสริมในเรื่องระบบพลังงานน้ำมันถือเป็นสินค้าในกรมสรรพสามิตชนิดหนึ่ง อีกอย่างเรื่องการปราบปรามดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวทางด้านการส่งเสริมและปราบปราม ด้านการส่งเสริมวางเรื่องการส่งออกให้จังหวัดขอนแก่นเป็นอีกหนึ่งคลังในเรื่องการส่งออกน้ำมันไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านโดยมีการพัฒนาเรื่องระบบท่อต่างๆการส่งออกเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดการส่งออกทำให้ประเทศไทยและขอนแก่นเป็นศูนย์กลางด้านพลังงาน การขนส่งระบบท่อมีข้อดีในหลายๆมิติถ้าเปรียบเทียบเรื่องของรถบรรทุก มีมลพิษที่น้อยลงมีราคาต่อหน่วยที่ต่ำลงมีเสถียรภาพทางการขนส่งทางด้านพลังงานที่สูงขึ้นเป็นนวัตกรรมที่กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญภาคส่วนต่างๆในเรื่องการส่งเสริม ส่วนเรื่องเรื่องการปราบปรามการที่มีเทคโนโลยีใหม่


“วันนี้เปิดตัวเรื่องอีซีลปัจจุบันเรื่องน้ำมันไปทางรถบรรทุกถ้าไปขายต่างประเทศจะไม่มีการเสียภาษีถือเป็นสินค้าเพื่อการส่งออกแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีเรื่องการรั่วไหลแทนที่จะส่งออกแต่กลับเอามาขายในประเทศเป็นน้ำมันที่ไม่ได้เสียภาษีเอามาขายในประเทศซึ่งควรจะเสียภาษี ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ใช้ปราบปรามกำกับดูแลเป็นแค่เส้นลวดที่ใช้ประทับตราไว้ผูกไว้กับท่อจ่ายน้ำมันที่รถ กรมสรรพสามิตเห็นความสำคัญเรื่องการปราบปรามจึงได้มีการคิดเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า อีซีล คือการใช้ระบบ จีพีเอส ติดตามไปผูกกับตัวท่อจ่ายน้ำมันในรถขนส่งน้ำมันที่ใช้ในการส่งออกทุกคันเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. นี้เป็นต้นไป อีซีลจะบ่งบอกสถานะของรถยนต์ได้ว่ารถมีการออกจากโรงกลั่นไปเมื่อไหร่มีการติดตามระบบ จีพีเอสไปจนถึงชายแดน มีการใช้ระบบคีย์การ์ดออกจากคลังน้ำมันกับโรงกลั่นและจะมีการใช้คีย์การ์ดอีกทีตอนถึงชายแดนเป็นการปลดล็อก ระหว่างทางจะไม่สามารถเปิดได้ถ้ามีการเปิดระบบจะฟ้องมายังห้องควบคุมกรมสรรพสามิตทันทีจึงมั่นใจได้ว่าจากคลังไปถึงชายแดนจะไม่มีการลักลอบเอามาน้ำมาขายในประเทศ น้ำมันจะมีการส่งออกไปตามกฎหมาย ที่คลังแห่งนี้จะส่งออกไปยังเพื่อนบ้านหลายๆประเทศส่วนเรื่องการส่งออกชายแดนที่มีปัญหาจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง”


ขณะที่ นายลือชัย สุดสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (ทีพีเอ็น – TPN) กล่าวว่า คลังน้ำมันบ้านไผ่ จ.ขอนแก่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจสำคัญของทีพีเอ็น โดยเฉพาะในด้านการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อสนับสนุนการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงาน ด้วยนโยบายการเก็บสำรองน้ำมันสำเร็จรูปในคลังส่วนภูมิภาค ส่งผลให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เชื่อถือได้ ก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐศาสตร์ต่อประเทศ รวมถึงยังเป็นการรองรับการขยายตัวด้านการใช้น้ำมันในภูมิภาคอาเซียน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาค


“การขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันภายในพื้นที่ รวมถึงเพิ่มความสะดวกในการส่งออกน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ให้สามารถกระจายน้ำมันได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยปัจจุบันมีการใช้ท่อในการขนส่งน้ำมันอย่างแพร่หลายในหลายพื้นที่ ทั้งในประเทศ ระหว่างประเทศ หรือภายในทวีป แสดงให้เห็นถึงการพัฒนารูปแบบการขนส่งน้ำมันทางท่อที่เติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ จะตอบสนองความต้องการปริมาณน้ำมันที่เติบโต และทำให้สามารถเข้าถึงพลังงานน้ำมันได้โดยง่ายผ่านบริการขนส่งน้ำมันที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศ เพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งน้ำมัน ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ตอบสนองแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เป็นเป้าหมายในอนาคตของประเทศ”


นายลือชัย กล่าวต่อว่าคลังน้ำมันแห่งนี้เป็นคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่มีความทันสมัย และมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ความจุถังรวม 157 ล้านลิตร และมีท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมต่อสถานีคลังน้ำมันที่สระบุรีถึงสถานีคลังน้ำมันที่ขอนแก่นระยะทาง 342 กิโลเมตร ผ่าน 55 ตำบล 18 อำเภอ 5 จังหวัด การขนส่งด้วยระบบท่อขนส่งน้ำมันจะช่วยลดปริมาณการขนส่งน้ำมันทางรถบรรทุกลงไปจำนวน 88,000 เที่ยวต่อปี คิดเป็นการประหยัดเชื้อเพลิงในการขนส่งลงไปได้กว่า 15.4 ล้านลิตรต่อปี ที่สำคัญ ยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง หรือเปรียบเทียบได้กับการปลูกป่ามากถึง 67,000 ไร่
โดยคาร์บอนเครดิตจะเป็นของผู้มาใช้บริการท่อส่งน้ำมันและคลังน้ำมันของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศ นับเป็นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษ์สิ่งแวดล้อมและดูแลสังคมทั้งยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ