ข่าวอัพเดทรายวัน

สุดทน ! แจ้งจับน้องชายป่วยจิตเวชถือขวานจะทำร้าย แจ้งเจ้าหน้าที่ ตร.ให้นำไปตัวรักษา

สุรินทร์-พี่ชายสุดทน แจ้งจับน้องชายป่วยจิตเวชถือขวานจะทำร้าย แจ้งเจ้าหน้าที่ ตร.ให้นำไปตัวรักษา
เหตุการณ์นี้เป็นใครก็ต้องจำใจทำ เพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัว เมื่อชายคนหนึ่ง เกิดคลุ้มคลั่งจากอาการป่วยจิตเวชกำเริบ ถือขวานตะโกนด่าพี่ชายแท้ ๆ พี่ชายต้องนำลูกและเมียออกจากบ้านรีบแจ้งตำรวจให้จับกุมตัวนำตัวไปรักษา

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ได้รับแจ้งเหตุมีคนคลุ้มคลั่ง เดินไปเดินมานอกบ้าน ซอยข้างวัดบูรณ์พารามสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ จึงลงพื้นที่เข้าระงับเหตุ ตรวจสอบพบชายอายุ 29 ปี ผู้ก่อเหตุ ซึ่งป่วยจิตเวช กำลังนั่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน พูดพึมพำพร้อมกับตะโกนด่า อีกทั้งภายในมือยังถืออาวุธขวานด้ามใหญ่ ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมประมาณ 5 นาที จึงยอมวางขวานลง ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวพาไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก

ในจุดเกิดเหตุพบพี่ชายของผู้ก่อเหตุทราบชื่อต่อมา ชื่อนาย รณภูมิ เจริญถวิล อายุ 36 ปี บ้านพักเลขที่ 300/54 ถ.ทุ่งโพธิ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้เล่าว่า น้องชายตนชื่อนายเดชฤทธิ์ เจริญถวิล อายุ 29 ปี มีอาการป่วยทางจิตมาหลายปีแล้วและได้เข้ารักษาจนหายแล้วกลับมาอยู่บ้านกับตน โดยในวันนี้น้องชายตนได้เปิดเพลงเสียงดังและนั่งดื่มเบียร์อยู่หน้าบ้าน ช่วงขณะนั้นตนได้ยินเสียงของน้องชายได้ตะโกนด่าใครไม่รู้พร้อมกับทำตาขวางจ้องมาทางตน ตนจึงได้นำลูกตนและภรรยาตนให้ออกไปอยู่ข้างนอกที่อื่นก่อน พร้อมกันนี้ตนได้สังเกตเห็นน้องชายตนถือขวานและจ้องมาที่ตนแต่ตนก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเมือก่อนนั้นตนจะปรามได้แต่นี่หนักเข้าทุกวันตนปรามน้องชายไม่ได้ ตนจึงได้โทรศัพท์ไปหาพ่อเพื่อบอกว่าจะให้ตำรวจนำตัวน้องชายไปรักษาที่โรงพยาบาล ตนจึงได้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้มาควบคุมตัวไว้ได้

นายรณภูมิ เจริญถวิล กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมา รู้สึกกลุ้มใจทุกครั้งที่น้องชายแท้ ๆ เวลาขาดยาหรือไม่ได้กินยาต่อเนื่อง อาการก็จะกำเริบและอาละวาดจากอาการป่วยจิตเวช อยากจะพาไปรักษา แต่อีกใจก็สงสาร เพราะน้องชายต้องไปอยู่ห่างไกล กลัวจะไม่มีคนดูแล แต่ครั้งนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงต้องแจ้งตำรวจ เพราะเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้ ตนและครอบครัวและเพื่อนบ้านในบริเวณใกล้เคียงอาจมีคนได้รับอันตรายถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิตได้
เบื้องต้น ตำรวจควบคุมตัวชายอายุ 29 ปี ผู้ก่อเหตุ ส่งให้แพทย์รักษาอาการต่อไป เพราะไม่เช่นนั้นผู้ป่วยอาจจะกลับมาก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวได้อีกด้วย