นครพนม ดร.วิทยา อินาลา อดีต สว.หัวหน้าพรรคเพื่อคนไทย ปรับกลยุทธ์ เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคไทยพร้อม เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง ดึงบิ๊กตำรวจ ทหารร่วม บริหาร นำร่องลุยอีสาน กวาดที่นั่ง ส.ส.เขต มั่นใจมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เลือกตั้งสมัยหน้า เชื่อรัฐบาลรู้เห็นเป็นเกมการเมืองทำสภาล่ม เสนอร่างกฎหมายคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยอมรับสูตรหาร 100 พรรคเล็กเสียเปรียบ แต่สุดท้ายประชาชนตัดสิน ชูนโยบายสร้างรายได้ชุมชน ทำการค้าระหว่างประเทศ อยากเห็นการเมืองปลอดความขัดแย้ง เลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 สิงหาคม 2565 ที่ห้องประชุม โรงแรมพักพิงอิงโขง อ.เมืองนครพนม ดร.วิทยา อินาลา อดีต สว.สรรหา หัวหน้าพรรคไทยพร้อม พร้อมด้วย นางสาวกาญจนา ภวัครานนท์ เลขาธิการพรรค พล.อ.อภิชัย พิณสายแก้ว อดีตเจ้ากรมพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พ.ต.อ.ดร.สนธยา แสงเภา อดีต สว.สรรหา และอดีต รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับ กรรมการบริหารพรรค และตัวแทนพี่น้องประชาชน สมาชิกพรรค ในพื้นที่ ภาคอีสาน และอีกหลายจังหวัด มากกว่า 300 คน เข้าร่วมการประชุมใหญ่วิสามัญ ของพรรคไทยพัฒนา ครั้งที่ 1/2565 เดิมเป็นชื่อพรรคเพื่อคนไทย เพื่อหารือพิจารณาแก้ไขข้อเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค ตามกฎหมายการเลือกตั้ง เกี่ยวกับประเด็นการเปลี่ยนชื่อพรรคล่าสุด จากพรรคไทยพัฒนา เป็นพรรคไทยพร้อม
เนื่องจากชื่อพรรคเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากพรรคเพื่อคนไทย มาเป็น พรรคไทยพัฒนา มีปัญหาข้อร้องเรียนแอบอ้าง ทำกิจกรรมทางการเมือง เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาขัดกฎหมายเลือกตั้ง จนกระทั่งมีการลงมติ เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรรคไทยพร้อม นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งเลขาธิการพรรค รวมถึงรองหัวหน้าพรรคคนใหม่ คือ พล.อ.อภิชัย พิณสายแก้ว อดีตเจ้ากรมพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พ.ต.อ.ดร.สนธยา แสงเภา อดีต สว.สรรหา และอดีต รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน รวมถึงการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรค ทั้งหมด 12 คน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายการเลือกตั้ง เตรียมพร้อมปรับกลยุทธสู้ศึกเลือกตั้งสมัยหน้า
ด้าน ดร.วิทยา อินาลา อดีต สว.สรรหา หัวหน้าพรรคไทยพร้อม เปิดเผยว่า การเปลี่ยนชื่อเดิมจากพรรคเพื่อคนไทย ถือเป็นพรรคการเมืองเกิดจากชาวนครพนม มาเป็นพรรคไทยพัฒนา แต่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการแอบอ้างทางกสารเมือง เสี่ยงขัดกฎหมาย จึงมีความจำเป็นต้องหารือพิจารณาเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรรคไทยพร้อม หมายถึงพร้อมทุกด้าน ในการดูแลประชาชน พร้อมในการพัฒนาประเทศ โดยมีการดึงกลุ่มผู้มีความสนใจการเมืองรุ่นใหม่มาร่วมการบริหารงาน ตั้งแต่เลขาธิการพรรค รวมถึงนำทุกสาขาอาชีพ ไปจนถึง นายตำรวจทหารชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย พล.อ.อภิชัย พิณสายแก้ว อดีตเจ้ากรมพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พ.ต.อ.ดร.สนธยา แสงเภา อดีต สว.สรรหา และอดีต รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มานั่งเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยพร้อม เป็นการปรับกลยุทธ์สู้ศึกเลือกตั้งสมัยหน้า ส่วนนโยบายสำคัญจะเน้นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับชุมชน และจะต้องเน้นการนำเงินรายได้มาจากระหว่างประเทศ คือการค้าขายระหว่างประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่การกู้ยืมเหมือนรัฐบาลปัจจุบัน เพราะจะไม่เกิดความยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาการศึกษา ลูกหลานเยาวชน ถือเป็นนโยบายหลักให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการพัฒนา ดร.วิทยา อินาลา กล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้ายอมรับมี่ความหนักใจเกี่ยวกับปัญหา การเสนอร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในการวางสูตรสรรหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ ระหว่าง หาร 100 กับ หาร 500 เพราะเกิดสภาล่มหลายครั้ง และจะส่งผลการออกกฎหมายไม่ทัน ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 ทำให้พรรคเล็กเสียเปรียบ แต่สุดท้ายต้องสู้ในทิศทางการเมือง เพราะประชาชนเป็นคนตัดสินในการเลือกตั้ง ยอมรับว่ารัฐบาลน่าจะรู้เห็นเป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ทางการเมือง แต่ต้องสู้ด้วยวิถีทางการเมือง ไม่ว่าจะพรรคใหญ่พรรครเล็ก โดยการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง จะเน้นวางตัว ส.ส.เขต ในพื้นที่อีสานเป็นหลัก มั่นใจว่าตนจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แน่นอน เพราะมีประสบการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถามว่าห่วงการปฏิวัติ รัฐประการ หรือไม่ ยอมรับว่ามีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด สำคัญที่สุดประชาชนต้องช่วยกันขับเคลื่อนประชาธิปไตย ตัดวงจรการสืบอำนาจ เพื่อให้การเลือกตั้งได้พรรคที่เป็นประชาธิปไตย สมบูรณ์แบบ ยืนยันพรรคไทยพร้อม มีความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์การเมือง
ส่วน นางสาวกาญจนา ภวัครานนท์ เลขาธิการพรรคไทยพร้อม เปิดเผยว่า ตนมั่นใจคนรุ่นใหม่จะมีบทบาทในการเลือกตั้งสมัยหน้า จึงตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานการเมืองกับพรรคไทยพร้อมเป็น ครั้งแรก จากเดิมทำงานด้านการศึกษา ทำสถาบันการศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร แต่อยากให้ประเทศชาติมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ควบคู่กับการพัฒนาประเทศ จึงมารร่วมทำงานกับพรรคการเมือง สำคัญที่สุดสิ่งที่ตน และประชาชน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่อยากเห็นมากที่สุด คือ ประเทศไทยปลอดความขัดแย้ง เลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย ไม่มีปัญหาทางการเมือง จะทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้อย่างแน่นอน