ข่าวอัพเดทรายวัน

แม่พิการติดเตียง ลูกสองคนป่วยพิการแต่กำเนิด สาวลูกสามสุดฝืนกัดฟัน หาเลี้ยงไม่ย่อท้อ

วันที่ 12 ก.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางนันทา ดวงมืด อายุ 68 ปี ต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงหลังจากพลาดท่าหกล้มในห้องน้ำเมื่อ 9 ปีก่อนทำให้กระดูกก้นกบแตกไม่สามารถกลับมาเดินเหินได้เหมือนเดิมอีกทั้งประสาทการควบคุมการขับถ่ายไม่ทำงานไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายเองได้ต้องสวมใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองต้องอาศัยลูกสาวและหลานอีกสองคนช่วยกันดูแล

ภาพของนางศศินิภา ดวงมืด หรือ นก ยืนบีบเส้นขนมจีนอยู่ที่เพิงที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวข้างบ้านเพื่อขายขนมจีนบีบสดและน้ำยาปลาร้าแทนแม่ เป็นภาพที่คุ้นชินของชาวบ้านบ้านตาลปากน้ำ ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทนจังหวัดนครพนม นานกว่า 9 ปีมาแล้ว หลังจากที่ต้องมาทำหน้าที่แทนแม่ที่ล้มป่วยติดเตียงจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

นางศศินิภา ดวงมืด หรือนกอายุ 43 ปี เปิดเผยว่า เดิมการขายขนมจีนเป็นการหารายได้เสริมของครอบครัวโดยพ่อที่เสียชีวิตไปก่อนนี้ มีอาชีพเป็นชาวไร่ยาสูบ ส่วนแม่ก็ยึดอาชีพขายขนมจีนบีบสดน้ำยาปลาร้า หารายได้เสริมเลี้ยงดูครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกันสี่คน ต่อมาพ่อก็เสียชีวิตลงภาระหนักจึงตกอยู่กับแม่ ที่ต้องดิ้นรนหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวที่มีลูกสองคนคือตนและพี่ชายอีกคนหนึ่ง ส่วนตนก็ได้แต่งงานอยู่กินกับนายณัฐพล สุทธิสาร มีบุตรด้วยกันสามคน โดยคนโตคือนายพงศธร สุทธิสาร ปัจจุบัน อายุ 22 ปี เกิดมาก็พิการมาแต่กำเนิดเป็นโรคลมชัก แขนขาอ่อนแรงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ส่วนคนรองคือคือนางสาวมัลลิกา สุทธิสาร อายุ 18 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 6 ส่วนคนสุดท้องคือเด็กหญิงขวัญเรือน สุทธิสาร อายุ 15 ปี ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ต้องเทียวไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่นอยู่เสมอทุก ๆ สามเดือน แต่ต้องให้ออกจากโรงเรียนไว้ก่อนเพื่อเปิดโอกาศให้พี่สาวได้เรียนก่อนเนื่องจากความขัดสน

เมื่อก่อนครอบครัวก็อยู่กันมาตามอัตภาพ มีแม่กับตนช่วยกันทำขนมจีนขาย ส่วนสามีก็รับจ้างทั่วไปก็พอมีรายได้มาจุนเจือครอบครัวอยู่บ้าง แต่เหมือนมีกรรมเมื่อประมาณ 9 ปี ก่อน จู่ ๆ แม่ก็ลื่นหกล้มในห้องน้ำจนกระดูกก้นกบแตกเดินไม่ได้ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่กับตนและสามีตั้งแต่นั้นมา ภาระที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวรวมทั้งหมดถึง7 คนเป็นภาระที่หนักอึ้งมาตลอด ที่นาที่เคยมีอยู่หลายแปลงก็ต้องทยอยขายเพื่อนำเงินมารักษาคนป่วยในบ้านที่มีถึงสี่คนรวมถึงผืนนาที่อยู่ข้างบ้านก็จำเป็นต้องขายไปด้วย และต่อมาสามีคือนายณัฐพล ก็มาป่วยเป็นโรคเก๊าเดินเหินไม่ค่อยสะดวกงานรับจ้างที่เคยทำก็ต้องหยุดกลายเป็นคนป่วยไปอีกคนหนึ่ง ภาระการดูแลครอบครัวจึงตกหนักอยู่ที่ตนแต่เพียงผู้เดียวต่อมาพี่ชายที่ป่วยเป็นมะเร็งตับก็เสียชีวิตลงเหลือสมาชิกในครอบครัว 6 คน รายได้จากการขายขนมจีนแต่ละวันขายได้วันละ 800 ถึง 1,000 บาทโดยยังไม่หักค่าใช้จ่ายก็พอเหลือใช้ดูแลแม่และลูกอีก 3 คนบางครั้งต้องพาแม่และลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งต้องใช้เงินเยอะจึงจำเป็นต้องขายที่นาเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายโดยหวังว่าคนป่วยจะหายจากโรคเรื้อรังไปได้ แต่เมื่อมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนเป็นต้นมายอดขายขนมจีนก็ตกลงมากบางวันขายได้ไม่ถึงร้อยบาท ของที่เตรียมไว้ก็เหลือครอบครัวต้องประสบกับปัญหาหนักมาตลอดเนื่องจากมีรายรับไม่พอกับรายจ่าย จนบางครั้งต้องไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านเพื่อพาลูกและแม่ไปหาหมอ
นายนิมิตร ธาตุวงค์ อายุ 55 ปีเพื่อนบ้านกล่าวว่า ตนเห็นครอบครัวนี้มาตั้งแต่เด็กเมื่อก่อนก็จัดว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีครอบครัวหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อขาดพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวและประจวบกับยายนันทา ที่ทำหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวต่อจากสามีที่จากไป ต้องกลับกลายมาเป็นคนป่วยติดเตียงอีกคน ก็ทำให้ภาระทั้งหมดนี้ต้องตกอยู่กับลูกสาวคือนางศศินิภา หรือนก ที่ต้องดูแลคนพิการสองคน และส่งเสียลูกสาวอีกสองคนเรียนหนังสือโดยลูกสาวคนเล็กก็ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงต้องเทียวไปรักษาตา ที่โรงพยายาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่นอยู่เสมอบางครั้งเงินขาดมือก็ต้องเที่ยวหยิบยืมเพื่อนบ้านเป็นหนี้เป็นสินพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่ายครอบครัวนี้จึงลำบากมากจริง ๆ

ด้านนางสาวจารุวรรณ อุดานนท์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านตาลปากน้ำ ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนมเปิดเผยว่าชาวบ้านต่างทราบกันดีว่าครอบครัวนี้มีคนป่วยติดเตียงหลายคน และตนก็ช่วยเหลือมาตลอดโดยทำบัตรผู้พิการให้เพื่อให้ได้รับสิทธิต่าง ๆ ของทางการ โดยตนได้ประสาน อสม.ให้มาช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียงพร้อมแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เป็นแผลกดทับ หากมีผู้บริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่นเตียงและรถเข็นก็จะนำมาให้ นอกจากนั้นข้าวของที่เหลือใช้จากผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วเช่นผ้าอ้อมก็จะขอรับเอามาให้ด้วยเช่นกันซึ่งก็ดีกว่าเอาไปเผาทิ้ง อย่างไรก็ตามตนได้นำเรื่องราวของยายนันทา เสนอต่อผู้บังคับบัญชาและหน่วยเหนือ เช่นพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้หาทางช่วยเหลือด้วยเช่นกันแล้ว