ข่าวอัพเดทรายวัน

ครูแก้ว แถลงข่าว กรณีครอบครองป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการ รองประธานสภาฯ หลอกเงินธุรกิจ

วันที่ 3 ธ.ค.65 ที่ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย สาขานครพนม บ้านท่าควาย ถนนนครพนม ท่าอุเทน อ.เมือง จ.นครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ ส.ส.นครพนม เขต 1 ได้แถลงข่าว การครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม และอดีต ผู้ช่วยเลขาธิการ รองประธานสภาฯ

นายศุภชัย โพธิ์สุ แถลงว่า กรณีที่ ผวจ.สั่งเพิกถอนใบจองของ นายศุภชัยฯ จำนวน 39 แปลง ภารกิจ ของ ผวจ.ที่มีความเข้าใจกับป่าดงพะทาย ปี 2518 – 2519 ที่รัฐบาลเห็นว่าที่ตรงนี้เป็นที่แปลงใหญ่ จึงจัดสรรให้เกษตรกรและประชาชนทำกิน จัดแบ่งเป็นที่ละ 10 ไร่ เพื่อทำการเกษตร อีกคนละ 1 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัย หลังจากที่คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติจัดเสร็จแล้ว ปิดโครงการ และมอบที่ดินให้อยู่ในความรับผิดชอบของ ผวจ.นครพนม โดยสำนักงานที่ดิน จ.นครพนม เป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าหากว่าประชาชนที่ได้ใบจอง เข้าทำประโยชน์ภายใน 3 เดือน 6 เดือน ก็สามารถที่จะนำสำรวจเดินออกโฉนดได้ หรือใช้ประโยชน์ 3 ใน 4 สามารถออก นส.3 ได้ เกษตรกรบางส่วนดำเนินการเรื่อง นส.3 ที่มีชื่อใบจอง จำนวนหลายสิบแปลง ที่ส่วนใหญ่ ผู้ครอบครองในบริเวณนั้น คือ คนในพื้นที่ ที่ไม่มีชื่อในใบจอง คนที่มีชื่อในใบจองเห็นว่าเป็นที่ทุรกันดาร ขายออกไปบ้าง แลกไก่ขอแลกค่ารถกลับบ้านบ้าง แม้แต่ส่วนหนึ่งประมาณ 30-40 แปลง ขายเปลี่ยนมือกันมาเรื่อย ๆ ช่วงที่จัดสรรเป็นการจับฉลาก เพื่อมาทำประโยชน์และออกโฉนด ที่ครอบครองอยู่ ใบ นส.2 เป็นชื่อของคนนอกพื้นที่ครอบครอง ก็เลยยืดเยื้อกันอยู่ ผวจ.จึงวางนโยบายให้สำนักงานที่ดินฯ ได้มีการสำรวจ ถ้าใครได้ใบจองทำผิดเงื่อนไข ไม่เข้าทำประโยชน์ หรือซื้อขายเปลี่ยนมือไป ก็ผิดเงื่อนไข เนื่องจากใบจองจริง ๆ ซื้อขายไม่ได้ เพราะถ้าไปฟ้องร้องกันก็แพ้ผู้ที่มีชื่อในใบจอง จำเป็นต้องจำหน่ายใบจองออก คือใบจองที่มีชื่อคนเดิมให้จำหน่ายออก เนื่องจากไม่ได้ทำประโยชน์มาหลายสิบปีแล้ว เพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป มีกฎหมายที่ดินระบุเอาไว้ว่า อยู่ในเอกสารที่ทางที่ดินจังหวัด ทำชัดเจน ใครมีชื่อใน นส.2 ให้ไปทำประโยชน์ได้ แต่ถ้าใครครอบครองแต่ไม่ตรงกับคนที่ทำประโยชน์ จำหน่ายออก และให้ทำประโยชน์กับคนที่ทำมายาวนาน ไปเดินสำรวจออกเอกสารสิทธิ์เป็นของตนเอง ผวจ.นครพนม จึงได้ทยอยประกาศจำหน่ายใบจองในพื้นที่ป่าดงพะทาย จำนวน ทั้งหมดประมาณ 20,000 ไร่ จากนั้นคนที่ครอบครองอยู่จึงไปดำเนินการตามกฎหมายที่ดินต่อไป ผวจ.ออกคำสั่งไม่ได้ว่าจะยึดที่ดินของใคร ไม่ได้จำหน่ายเฉพาะพื้นที่ที่นายศุภชัย ครอบครองอยู่ แต่จำหน่ายใบจองของประชาชนที่ครอบครองอยู่ในพื้นที่ป่าดงพะทาย เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ เพื่อที่ออกเอกสารสิทธิ์ มีการเสียภาษีในท้องที่เกิดประโยชน์ต่อทางราชการ จึงไม่มีการประกาศยึดที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่ของตนก็ไม่มีใครยึดได้ เพราะครอบครองมา 20 กว่าปีแล้ว การที่ลงข่าวพาดหัว น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่เข้าใจ โง่หรือแกล้งโง่ สำหรับคนที่พาดหัวข่าว ให้เกิดความฮือฮาในวงการ เห็นว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง เรื่องของประธานสภา ถ้าไปเล่นข่าวเรื่องนี้ก็โด่งดังไปขายข่าวได้ ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา วันนี้มีเอกสารที่ทางที่ดิน จ.นครพนม ได้ชี้แจงเพิ่มเติม

ที่ดินชี้แจงว่า นายศุภชัยฯ ครอบครองที่ดิน 100 กว่าไร่ ในส่วนที่จำหน่ายรอบหลัง รวมแล้วประมาณ 200 กว่าไร่เศษๆ แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน ในข้อเท็จจริงกับที่เป็นข่าวคนละเรื่องกัน การครอบครองที่ดินตรงนี้ เป็นการครอบครองที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย พื้นที่ป่าดงพะทายไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าสงวนมาก่อน ไม่เคยประกาศเป็นอุทยาน สวนสาธารณะ ไม่ได้เป็นที่หวงห้ามใด ๆ จำหน่ายใบจองก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือที่รกร้างว่างเปล่า เป็นที่ของรัฐประเภทรกร้างว่างเปล่า ที่ประชาชนเข้าครอบครอง มีสิทธิ์ในการทำกิน และสามารถออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองได้ ไม่ได้เป็นที่ สปก. ตามหลักการที่ครอบครอง เป็นที่ดินจัดสรร แปลงใหญ่ เคยจัดสรรให้กับชาวบ้าน แต่หลังจากมอบ นส.2 ให้ชาวบ้านแล้ว จึงปิดโครงการที่ดินแปลงนี้จึงมาอยู่ในความรับผิดชอบของ สำนักงานที่ดิน จ.นครพนมโดย ผวจ.นครพนม รับมอบจากอธิบดีกรมที่ดิน มาดำเนินการ ใครที่ได้ใบจองให้ดำเนินการตามระเบียบที่ได้กำหนดไว้ สามารถเดินสำรวจออกโฉนด เป็น นส.2 ได้ แต่ถ้าคนที่ถือใบจองในที่แปลงนี้ ถ้ามีการยกเลิกใบจอง จะกลับไปเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเหมือนเดิม ก่อนที่จะมาจัดสรร

หลังจากที่ ผวจ.แทงจำหน่ายผู้ที่ถือใบจองใบเดิมแล้ว ผู้ที่ครอบครองปัจจุบัน สามารถแจ้งทางกรมที่ดินว่า ขอให้มาเดินสำรวจออกโฉนดให้ โดยหลักการ ใครที่ครอบครองทำประโยชน์ ก็มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการออกเอกสารต่อไป ในการขอสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของ

มีคนร้องไปสู่คณะกรรมการ ปปช.ของสภาผู้แทนราษฏร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส เป็นประธานกรรมการ ผ่านกระบวนการการสืบสวน สอบสวน ของคณะกรรมการ ปปช. มีการสอบบุคคลแวดล้อม แต่ไม่เคยเรียกนายศุภชัยฯ ไปสอบ ว่าได้ที่ดินแปลงนี้มาอย่างไร แต่สุดท้ายสรุปว่า มีองค์ประกอบของการกระทำความผิด มองที่ประเด็นว่า ไม่มีชื่อในใบจอง เอามาแจ้งบัญชีทรัพย์สินว่าเป็นของตนได้อย่างไร บอกว่า ผิดจริยธรรม ก็เลยยื่นไปที่คณะกรรมการจริยธรรมว่า มีองค์ประกอบของความผิด จึงเสนอไปที่คณะกรรมการชุดใหญ่ แจ้งมายังตน ให้ตอบชี้แจงภายใน 7 วัน เนื่องจากได้รับหนังสือช้า ก็เลยขอเลื่อนไปเป็น 15 วัน ใกล้จะครบ 15 วัน ต้องทำคำชี้แจงต่อคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นไปแล้ว หลายคนแนะนำตนว่า อีกไม่กี่เดือนก็หมดวาระของกรรมการชุดนี้แล้ว หรืออีกไม่นานก็ยุบสภา เรื่องนี้ก็จบไป แต่ตนบอกกับ นายชวน หลีกภัย ตนไม่ต้องการให้จบไปเฉย ๆ แต่อยากให้เร่งพิจารณาให้เร่งด่วน ให้เสร็จก่อนที่จะยุบสภา หรือก่อนหมดวาระ คือต้องการพิสูจน์ความจริงว่า ตนผิดหรือถูก ที่ดินแปลงนี้ได้ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2531 ตนเป็น ส.ส.ปี 2534 โดยที่ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของการเป็น ส.ส.หรือความเป็นนักการเมือง รัฐมนตรี หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร มาใช้อำนาจอิทธิพลของตำแหน่งเพื่อให้ได้มาของทรัพย์สิน ไม่ใช่เลย ตอนนั้นเป็นเพียงครูบ้านนอกคนหนึ่ง ทำการเกษตร เห็นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ก็ไปขอเช่า ปลูกมันสำปะหลัง ไร่อ้อย ยูคาลิปตัส ปี 2546 หลังจากเป็น ส.ส.แล้ว จึงปลูกยางพารา ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าแจ้งบัญชีทรัพย์สิน เนื่องจากยังไม่แน่ใจ ตอนนั้นเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ สภาผู้แทนราษฎร โดยการเสนอมติด่วนขึ้นไป จะให้มีคณะทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน ชาวบ้านบอกว่า รัฐมาบุกรุก รัฐบอกว่า ชาวบ้านบุกรุก จึงมีปัญหาขึ้น ตั้งคณะกรรมการมาศึกษาเรื่องนี้ ตนจึงเอาเคสของตน หารือกับ อธิบดีกรมที่ดิน คณะทำงานด้วยกันว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นเช่นไร ตรวจสอบโดยละเอียด เป็นที่รกร้างว่างเปล่า การครอบครองสามารถออกโฉนดเป็นของตนได้ โดยการจำหน่ายใบจองออกไปก่อน ในขณะที่มี เจ้าหน้าที่ ปปช.มาชี้แจงบัญชีทรัพย์สินภายในพรรค ก็นำเรื่องนี้หารือ โดยมีการครอบครองมายาวนาน ถ้าไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินถือว่า ปกปิด หรือแจ้งความอันเป็นเท็จ เพื่อความบริสุทธิ์ใจจึงแจ้งที่ดินแปลงนี้เข้าไปในบัญชีทรัพย์สิน

โดยขณะนี้ อยู่ในระหว่างชี้แจงกับ คณะกรรมการจริยธรรมพิจารณาอยู่ ถ้าเห็นว่า มีเหตุผล ก็ส่งตรวจสอบอีกครั้ง สรุปให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณา ถ้าเห็นว่าผิดจริยธรรมจริง คณะกรรมการจริยธรรมจะแจ้งว่า นายศุภชัย ทำผิด แจ้งให้สภารับทราบ ส่งเรื่องไปที่ คณะกรรมการ ปปช. สืบสวน สอบสวน ถ้าเห็นชอบตามนี้ก็ยื่นฟ้องต่อศาลจริยธรรม ยังไกลมากเลย ตนเป็น ส.ส.อีก 1 สมัย ก็ยังไม่จบ ถ้าเขาพิจารณาว่า ตนผิด ที่มีข่าวออกมาในช่วงนี้ คือ ต้องการดิสเครดิตทางการเมืองอย่างเดียว เอาเรื่องนี้มาสร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน โดยในพรุ่งนี้จะมีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ตีข่าวเสร็จก็มาให้แก้ข่าว

ประเด็นที่ทนายคนหนึ่ง แถลง เรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เกี่ยวข้องอะไร โดยอ้างว่าบุคคลที่ไปกระทำความผิดนั้นเป็นอดีตผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังกำกวม เพราะมีรองประธานสภาฯ 2 คน แต่มาระบุว่า คนที่ไปแอบอ้างว่า รู้จักกับผู้ใหญ่ ในพรรคภูมิใจไทย สามารถจะเคลียร์ปัญหาประเด็นต่าง ๆ ได้ เงินให้ไป 25 ล้าน พูดออกมาพาดพิงถึงตน มีการพาดพิงถึง นายก อบจ.จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของรองประธานสภาฯ อีกคนไม่มีลูกสาวที่เป็น นายก อบจ. ใครฟังก็รู้ว่าเป็นตน จึงเกิดผลกระทบกับตนอย่างแน่นอน ขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาอย่างละเอียด ถ้าคำพูดคำไหน ประโยคใดที่กระทบกับเกียรติยศและชื่อเสียงของตน จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่แถลงข่าวออกมาทำความเสียหายให้กับตนอย่างแน่นอน ขอปฏิเสธว่า ไม่เคยรับรู้รับทราบอะไรกันเลย ถ้าสมมติว่า มีใครไปหลอกลวงใคร ไปต้มตุ๋นใคร คุณก็มีสิทธิ์ที่จะไปดำเนินการกับคน ๆ นั้น แต่ถ้าเรื่องราวเกี่ยวกับตน ก็เอาไปเข้าสู่กระบวนการด้วย มาแถลงว่า เป็นผู้ช่วยเลขาฯ คนหนึ่งเกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย พูดให้เกิดความเสียหายกับ นายก อบจ.ด้วย ว่าเป็นภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทั้ง ๆ ที่บุคคลที่เอ่ยถึง พึ่งแต่งงานออกสื่อไปชัดเจน คน ๆ นี้ ก็รู้จักกัน มีคนมาแนะนำให้รู้จัก ว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถในการทำงานขอมาร่วมงาน ก็เลยเสนอตำแหน่งให้มาช่วยงาน แต่ปรากฎว่า ประมาณ 3-4 เดือน ขอลาออก เขาเป็นนักธุรกิจ จะให้มานั่งในสำนักงานทำไม่ได้ จึงขอลาออก ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งข้าราชการทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร แต่มาร่วมงานได้ไม่นาน ส่วนที่บอกว่า เป็นตำแหน่งประธานที่ปรึกษา นายก อบจ. ตำแหน่งนี้ไม่มีใน อบจ. เป็นการกรุเรื่องขึ้นมา ลูกสาวตน ยังไม่มีครอบครัว การแถลงข่าวแบบนี้ เป็นการเสียหายกับครอบครัวของตน คนที่เอ่ยไม่ได้ทำงานร่วมกันมาหลายปีแล้ว