ชาวบ้านบ้านโนนสว่าง หมู่ที่ 8 ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พากันเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชนกรณีมีชาวบ้านรายหนึ่ง นำหลักฐาน สค.1 เลขที่ 170 ไปขอออกโฉนด โดยอ้างว่าที่ดินแปลงตามที่ปรากฏในแบบแจ้งการครอบครอง สค.1 ดังกล่าว ขณะนี้มีชาวบ้านจำนวน 14 รายบุกรุกยึดถือครอบครอง ทั้งที่ความจริงพบว่า สค.1 เลขที่ดังกล่าวถูกนำไปออกโฉนดแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 และเป็นคนละแปลงกับที่ดินซึ่งชาวบ้านทั้ง 14รายครอบครองอยู่ แม้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ จะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องรายดังกล่าวทราบข้อเท็จจริงมาโดยตลอดว่า ที่ดินตามหลักฐาน สค.1 เลขที่ 170 ที่นำมายื่นขอออกโฉนดเป็นคนละแปลงที่ชาวบ้านทั้ง 14 รายครอบครองอาศัยและทำกินอยู่ อีกทั้ง สค.1 เลขที่ดังกล่าว ปัจจุบันได้มีการขอออกโฉนดแล้วก็ตาม





แต่เมื่อเร็วๆ นี้ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขับไล่ชาวบ้านทั้ง 14 รายให้ออกจากที่ดินซึ่งเป็นคนละแปลงตามรายงานข้างต้น
นายไชยยศ ไชยพฤกษ์ ซึ่งเป็นผู้พาชาวบ้านร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เปิดเผยว่า สค.1 เลขที่ 170 เดิมนายบุญมี เกตตากแดด(บิดาของนางพวง โทขันธ์) ผู้ร้องได้ยื่นแจ้งการครอบครองเมื่อปี 2498 ต่อมาในปี พ.ศ.2519 นายแดง มืดทัพไทย น้องเขยนายบุญมี เกตตากแดด ได้นำ สค.1 เลขที่ 170 ของนายบุญมีฯไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ น.ส.3 ก.เลขที่ 145 กระทั่งปี พ.ศ.2538 นายแดง มืดทัพไทย ก็นำหลักฐาน น.ส.3 ก.เลขที่ 145 ดังกล่าว ไปยื่นขอออกโฉนด และก็ได้โฉนดเลขที่ 17235มาครอบครอง จนถึงปัจจุบัน





นายไชยยศ ไชยพฤกษ์ กล่าวอีกว่า เมื่อ สค.1 เลขที่ 170 ได้นำไปออกโฉนดเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ดังนั้น สค.1 ฉบับดังกล่าวก็จะต้องถูกยกเลิกไม่สามารถนำมาขอออกเอกสารสิทธิ์ใดๆได้อีกต่อไป และการที่นางพดวง โทขันธ์ นำชี้รังวัดอ้างว่าที่ดินซึ่งปรากฏในเอกสาร สค.1 เลขที่ 170 คือที่ดินแปลงที่ชาวบ้านทั้ง 14 รายครอบครองอยู่ในปัจจุบันจึงไม่เป็นความจริง ประกอบกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ มีหนังสือที่ รอ. 0020.08/9686ลงวันที่ 1 ส.ค.2561 แจ้งให้นางพวง โทขันธ์ ทราบแล้วว่าไม่สามารถออกโฉนดตามที่นางพวง มายื่นขอออกได้นั้นเนื่องจาก สค.1 เลขที่ 170 ที่นำมายื่นขอออกโฉนดไม่ใช่ของที่ดินแปลงที่นำมารังวัด


กรณีที่นางพวง โทขันธ์ ยื่นฟ้องขับไล่ชาวบ้านทั้ง 14 รายต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ดไปแล้วนั้น กระทั่งศาลมีคำพิพากษาให้ชาวบ้านพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง สค.1 เลขที่ดังกล่าว โดยชาวบ้านทุกคนต่างน้อมรับคำพิพากษาของศาล แต่ขณะเดียวกันในเมื่อชาวบ้านทุกคนไม่เคยเข้าไปบุกรุกหรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินตามแบบแจ้งการครองครอง สค.1 เลขที่ 170 ที่นางพวงอ้างถึง จึงไม่รู้ว่าจะให้ชาวบ้านย้ายออกอย่างไร
อีกทั้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ ทำหนังสือแจ้งยืนยันไปถึงนางพวงแล้วว่าที่ดินของชาวบ้านเป็นคนละแปลงกับที่ปรากฎใน สค.1 เลขที่ 170 จึงหาทางช่วยเหลือพาชาวบ้านร้องขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้ง14 รายด้วย

จากนั้นชาวบ้านได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าที่กินที่ผู้ร้องนำไปยื่นฟ้องต่อศาลขับไล่พวกตนมันอยู่คนละแปลงจะให้ทำอย่างไร
นายเลื่อน รัตนศรี อายุ 84 ปี หนึ่งในชาวบ้ายที่ถูกฟ้องขับไล่บอกว่า ตนทำกินในที่ดินแปลงนี้มากว่า 30 ปี ยืนบันง่สไใได้บุกรุกที่ใคร ที่ดินแปลงทีาพวกผมทำกินอยู่ทางราชการอนุญาตให้เข้าทำกินอย่างถูกต้อง และแปลงนี้อยู่คนละฝั่งเป็นคนละแปลงกับที่มีผู้ไปยื่นฟ้องศาลขับไล่ โดยเขาเอาพวกผมไปศาลแล้วหลายรอบและบอกว่าจะเอาพวกผมเข้าคุกเข้าตารางทั้ง 14 ราย ถ้าหากว่าพวกผมบุกรุกจริงๆ ก็พร้อมที่จะออกจสกที่ดังดล่าวแต่นี่ดูจากเอกสารสิทธิ์มี่เขาร้องมันอยู่คนละแปลง
นายวิชิต ทอนศร กล่าวว่า ปัจจุบันผมอายุ 66 ปี เกิดมาและโตมาที่นี่ก็เห็นถนนเส้นนี้ที่ใช้สัญจรไปมาอยู่แล้ว และก่อนนั้นทางการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาหลายปี ก่อนจะเลิกโครงการ ปล่อยเป็นที่รกร้าง ต่อมาจึงอนุญาตให้ชาวบ้านเข้าทำกินอยู่ที่นี่ได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมที่ดินคนละแปลง เขาเอาหลักฐานอะไรไปยื่นฟ้องศาลขับไล่พวกตน พอมีข่าวจะฟ้องขับไล่พวกตนด็ให้ที่ดินมารังวัดและตรวจสอบแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินก็แจ้งว่ามันคนละแปลงกับที่เขาฟ้องให้ชาวบ้านทำดินต่อไปได้ เรื่องที่เกิดขึ้นพวกตนรู้สึกหดหู่ท้อแท้ อยู่อย่างวิตกกังวล จึงอยากให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดจนกระบวนการยุติธรรม ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดด้วยว่าที่ดินแปลงที่มีผู้นำไปฟ้องขับไล่ กับที่ดินที่พวกตนอยู่มันใช่ตามที่เขาอ้างสิทธิ์จริงหรือ แต่เท่าที่ทราบและดูจากหลักฐานที่ดินแปลงที่พวกเราอยู่มันคนละแปลงกับแปลงที่เจาฟ้องชัดเจน รูปทรงพื้นที่ก็ต่างกัน ขนาดพื้นที่ก็มากกว่ากันเท่าตัวด้วย