ชาวนาที่จังหวัดกาฬสินธุ์ กำลังประสบกับความเดือดร้อน หลังนำข้าวเปลือกนาปีไปขายถูกลานรับซื้อข้าวกดราคาตกต่ำสุด เพียงกิโลกรัมละ 6 บาท ต้องนำกลับมาตากแห้งชะลอการขาย พร้อมเรียกร้องภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือชาวนา เนื่องจากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านต้นการผลิตสูงมาก ล่าสุดค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวยังพุ่งสูงถึงไร่ละ 800 บาท ซื้อผ้ามุ้งเขียวตากข้าวอีกกว่า 3,000 บาท แต่ราคารับซื้อผลผลิตตกต่ำ ทำให้ขาดทุนซ้ำซาก
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพ ของประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี พบว่าต่างประสบปัญหากันทั่วหน้า เริ่มตั้งแต่มีกระแสลมหนาวพัดผ่านและบางวันมีฝนตกลงมา เป็นสาเหตุให้ต้นข้าวล้ม ทำให้รวงข้าวหักทับพันกันยุ่ง เป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวลำบากมากขึ้น และทำให้เมล็ดข้าวแก่ไม่พร้อมกัน ทำให้เมล็ดข้าวด้อยคุณภาพ นอกจากนี้ ในส่วนของค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวก็สูงถึงไร่ละ 800 บาท ค่าขนส่งไปขายเที่ยวละ 500 บาท หรือหากจะตากเมล็ดข้าวเปลือกให้แห้ง ก็ต้องซื้อผ้ามุ้งเขียวผืนละ 600-800 บาทอีกด้วย
นายปรีชา ภูใบบัง อายุ 70 ปี ชาวนาบ้านตูม หมู่ 19 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ปีนี้ตนทำนาหว่าน เพราะประหยัดแรงงานในการถอนกล้าและปักดำ แต่ช่วงที่ต้นข้าวกำลังเติบโต กลับประสบปัญหาฝนทิ้งช่วง จึงทำให้เกิดวัชพืชขึ้นแซมต้นข้าวบ้าง ตนทำนาอินทรีย์จึงไม่ได้ฉีดยากำจัดวัชพืช พอจ้างรถเกี่ยวข้าวและนำไปขายเป็นข้าวสด พ่อค้าที่ลานรับซื้อข้าวเปลือกกลับไม่รับซื้อ อ้างว่าเมล็ดข้าวยังไม่แก่เต็มที่และมีเศษวัชพืชเจือปน ตนจึงได้นำมาตากผึ่งแดด เพื่อให้เมล็ดข้าวแห้งและจะนำกลับไปขายใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองทั้งค่าขนส่ง และต้องไปหาหยิบยืมผ้ามุ้งเขียวจากเพื่อนบ้านมาตากข้าวด้วย เพราะหาซื้อผ้ามุ้งเขียวไม่ทัน และต้องการประหยัดเงินเป็นค่าขนส่งข้าวเปลือกไปขายเป็นรอบที่สองอีกด้วย อะไรประหยัดก็ต้องประหยัดกันล่ะช่วงนี้ ยังไงๆปีนี้ก็คงขายข้าวขาดทุนแน่นอน เพราะราคารับซื้อต่ำมาก
ด้านนายอาคม ภูภักดิ์ อายุ 53 ปี ชาวนาบ้านโคกใหญ่ หมู่ 1 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนมีที่นา 15 ไร่ ทำนาหว่านทั้งหมด โดยใช้ข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6 เมื่อพื้นที่ทำนาเยอะก็ต้องลงทุนทำนาเยอะเป็นเงาตามตัว เพราะยุคนี้ค่าใช้จ่ายในการทำนาสูงขึ้นทุกอย่าง ทั้งค่าแรง ค่าปุ๋ยเคมี ค่าเก็บเกี่ยว ปีที่ผ่านมาขายข้าวสดได้ ก.ก.ละ 10-11 บาท ก็ถือว่าคุ้มทุน แต่ปีนี้ทราบจากเพื่อนชาวนาว่าราคาข้าวตกต่ำ เพียง ก.ก.ละ 6-7 บาทเท่านั้น จึงยังไม่นำข้าวไปขาย เพราะคงขาดทุนแน่นอน จึงได้ลงทุนซื้อผ้ามุ้งเขียวมาตากข้าว เพื่อชะลอการขายไว้ก่อน รอสักระยะราคาข้าวอาจจะสูงขึ้นจึงจะนำไปขาย สำหรับตนคิดว่าหากลานรับซื้อ ก.ก.ละ 8 บาทยังขาดทุน ราคา ก.ก.ละ 9 บาทก็พอจะมีกำไร
ขณะที่นายธนาพล ธรรมโนขจิต ผู้จัดการตลาดกลางข้าวและพืชไร่ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในส่วนของราคารับซื้อข้าวเปลือกนั้น เป็นไปตามกลไกตลาด โดยที่ผ่านมาปัจจัยที่ดึงราคาข้าวต่ำลง เนื่องจากมีการลักลอบข้าวเปลือกและข้าวสารจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาตีตลาดข้าวไทย ทำให้เกิดผลกระทบกับราคาข้าวเปลือกของชาวนาไทยที่กำลังเข้าสู่ตลาดข้าว อย่างไรก็ตาม สมาคมพ่อค้าข้าวและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามมองหาวิธีการแก้ไขอยู่ตลอด โดยปัจจุบันตลาดกลางข้าวและพืชไร่ จ.กาฬสินธุ์ รับซื้อข้าวเจ้ามะลิใหม่สด ก.ก.ละ 9.00-9.50 แห้ง ก.ก.ละ 11.00-11.50 บาท ข้าวเหนียวสด ก.ก.ละ 7.00-7.50 และแห้ง ก.ก.ละ 9.50-10.00 บาท เป็นราคาข้าวคุณภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กรมการข้าวกำหนด ทั้งนี้ชาวนาต้องชะลอขายคือทางออกเดียวที่จะทำให้ข้าวขึ้นราคาได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี 2563 ซึ่งชาวนาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ กำลังประสบปัญหาดังกล่าว ทั้งฝนตก ความชื้นสูง ข้าวล้ม ค่ารถเกี่ยว ค่าขนส่ง และต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อผ้ามุ้งเขียวสำหรับตากข้าวอีกผืนละ 600-800 บาท หรือรายละ 2,400-3,000 บาท ล้วนเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตทั้งสิ้น หากรวมกับค่าพันธุ์ข้าว ค่ารถไถ ค่าปุ๋ยเคมีและค่าแรง ผลสรุปคือขาดทุนซ้ำซาก จึงอยากเรียกร้องให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปรับเพิ่มราคาข้าวให้สูงกว่านี้ด้วย เพราะชาวนาเดือดร้อนมาก