หนุ่มวัย 19 ปี ชาวบ้านหัวงัว ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ หอบเอกสารขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากยุติธรรมจังหวัด หลังแม่ถูกบริษัทประกันภัยของรถคู่กรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายอุบัติเหตุแทนลูกสาวกว่า 2 แสนบาท
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 นายวุฒธิพงษ์ หินคำ อายุ 19 ปี อยู่บ้านหัวงัว เลขที่ 16/7 ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และญาติ ได้นำเอกสารคำฟ้องจากบริษัทประกันภัยคู่กรณี และภาพถ่าย เพื่อขอปรึกษากับนายชุติเดช เสน่ห์วงษ์ เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานยุติธรรม และทนายความที่ปรึกษาประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ และขอความช่วยเหลือจากกรณีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน 1 กฆ 2758 กาฬสินธุ์ ของเด็กหญิงปาริฉัตร หินคำ อายุ 13 ปี น้องสาว ชนกับรถยนต์เอนกประสงค์ ยี่ห้อมิตซูบิชิปาเจโร่ สีขาว ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน ก-7326 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บริเวณถนนสายยางตลาด-เมืองกาฬสินธุ์ ใกล้ปากทางเข้าบ้านเปลือย ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ก่อนถึงปั้มน้ำมัน ทำให้น้องสาวพร้อมเพื่อนเสียชีวิตรวม 2 ศพ โดยหลังเกิดเหตุถูกบริษัทประกันภัยคู่กรณีฟ้องค่าเสียหายระบุให้มารดาคือนางสาวสุดารัตน์ ภูดินขาว ชำระเงินค่าเสียหายแทนลูกสาวจำนวนเงิน 220,097 บาท โดยท้ายหนังสือยังระบุอีกว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามภายใน 15 วัน จะต้องถูกยึดทรัพย์หรือถูกจับและจำขัง
นายวุฒธิพงษ์ หินคำ อายุ 19 ปี กล่าวว่า สำหรับอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้น้องสาวของตน คือเด็กหญิงปาริฉัตร หินคำ พร้อมเพื่อนเสียชีวิตรวม 2 ศพ โดยสาเหตุเกิดจากรถจักรยานยนต์ขี่ย้อนศรชนกับรถเอนกประสงค์ ซึ่งหลังเกิดเหตุคู่กรณีได้มาเยียวยาครอบครัว 5,000 บาท จากนั้นในส่วนของคดีทางครอบครัวคิดว่ายุติกันไปแล้ว ไม่มีอะไร ต่อมาเหตุการณ์ผ่านไปประมาณ 1 ปี ก็มีหนังสือจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง อ้างว่าเป็นประกันภัยของรถยนต์เอนกประสงค์คู่กรณี ส่งหนังสือมาถึงนางสาวสุดารัตน์ ซึ่งเป็นมารดาของเด็กหญิงปาริฉัตร หินคำ ผู้เสียชีวิต ให้ชำระค่าเสียหาย เป็นจำนวนกว่า 220,097 บาท ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการนัดหมายหรือเจรจาไกล่เกลี่ยกับทางบริษัทประกันภัยเลย
นายวุฒธิพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากได้รับหนังสือดังกล่าวทุกคนในครอบครัวต่างตกใจ เพราะไหนจะสูญเสียลูกสาวและน้องสาวแล้ว ยังจะถูกบริษัทประกันภัยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก หลังจากนั้นนางสาวสุดารัตน์ ซึ่งเป็นมารดา ได้ไปปรึกษากับนักกฎหมาย ได้รับคำแนะนำว่าถ้าไม่มีเงินชำระ ก็ให้อยู่เฉยๆไว้ก่อน ต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2563 ก็ได้รับหนังสือในลักษณะดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความตกใจ และไม่มีเงิน จึงได้มาขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยสามัคคีกาฬสินธุ์ และขอความช่วยเหลือจากสำนักงานยุติธรรม เพื่อให้มีการพูดคุยในเรื่องค่าเสียหายกับประกันภัย เพราะเงินจำนวนกว่า 2 แสนบาท เป็นเงินจำนวนมาก และครอบครัวอยากขอความเห็นใจและไม่มีที่พึ่ง
ด้านนายชยพล วัชรอุดมกุล อุปนายกสมาคมกู้ภัยสามัคคีกาฬสินธุ์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับการประสานจากนางสาวสุดารัตน์และนายวุฒธิพงษ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ ทางสมาคมกู้ภัยสามัคคีกาฬสินธุ์ จึงได้อำนวยความสะดวก พร้อมกับแนะนำให้ไปปรึกษาด้านคดีความกับเจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ เพื่อหาทางออกของปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามหลังจากนายวุฒธิพงษ์ หินคำ ได้นำเอกสารเข้าขอปรึกษากับสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่อง และตรวจสอบพบว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในชั้นการบังคับคดีแล้ว ทั้งนี้สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ จะได้มีหนังสือสอบถามและหารือกับทางสำนักงานบังคับคดี เพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งอาจจะเป็นส่วนของการผ่อนปรนระยะเวลา หรือขอโอกาสให้คู่กรณีมีการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ ซึ่งจะได้มีการพูดคุยกันในลำดับต่อไป เพราะทราบว่าที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่ายไม่เคยเจรจากัน และในช่วงนี้นางสาวสุดารัตน์ มารดาของนายวุฒธิพงษ์ผู้ร้องยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ ไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่วนเด็กหญิงปาริฉัตรก็เสียชีวิตไปแล้ว