พบคุณยายเกษตรกรชาวนาวัย 69 ปี ชาวตำบลลำพาน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพาะพันธุ์ต้นกล้าข้าวขายให้กับเพื่อนชาวนาด้วยกัน ราคามัดละ 6 บาท สร้างรายได้งาม กำไรดี เฉลี่ยพื้นที่ 1 ไร่ได้เงิน 20,000 บาท ระบุดีกว่าขายเมล็ดข้าวเปลือก
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพทำนา ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้รับน้ำจากอิทธิพลของฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน พบว่าชาวนาต่างลงมือทำนากันเกือบเต็มพื้นที่ ซึ่งมีทั้งทำนาหว่าน และปักนาดำ โดยมีทั้งข้าวเหนียว และข้าวเจ้า ขณะเดียวกันยังได้เกิดอาชีพใหม่มีเกษตรกรสร้างรายได้งาม กำไรดี จากการขายต้นกล้าพันธุ์ข้าว ที่จะนำไปดำนาในฤดูกาลเพาะปลูกนี้ด้วย
นางลำพูน มุขภักดี อายุ 69 ปี บ้านเลขที่ 5 หมู่ 14 บ้านน้อยดอนกระต่าย ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เดิมชาวนาจะทำนาดำกันมาก โดยหว่านต้นกล้าพันธุ์ก่อน อายุประมาณ 20-25 วันเริ่มถอนต้นกล้า ก่อนนำไปปักดำในแปลงนาที่คราดไถเตรียมไว้แล้ว ทั้งนี้ ใช้แรงงานคนทั้งขั้นตอนการถอนกล้าและปักดำ เนื่องจากการทำนาดำจะดูแลง่าย ต้นข้าวแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ให้ผลผลิตสูง แต่ระยะหลังต่อมาไม่ค่อยนิยมทำนาดำกันนัก เนื่องจากค่าจ้างแรงสูง ประกอบกับต้นทุนการผลิตสูงทุกขั้นตอน ขณะที่ราคาขายข้าวเปลือกราคาตกต่ำ ทำให้ชาวนายุคใหม่หันมาทำนาหว่านกันเป็นส่วนมาก
นางลำพูน กล่าวอีกว่า การทำนาหว่านถึงแม้จะสะดวกสบาย เพราะไม่ได้ทำหลายขั้นตอน เพียงแต่ไถ คราด หว่านเมล็ดพันธุ์ ดูแลให้น้ำ ให้ปุ๋ย และรอเก็บเกี่ยวเท่านั้น แต่ก็มีข้อเสียหลายอย่างคือต้นข้าวหนาแน่น อ่อนแอ เสี่ยงต่อการเกิดโรคเพลี้ยไฟ ผลผลิตได้น้อย หรือช่วงหว่านเมล็ดพันธุ์ ฝนตกเกิดน้ำขัง เมล็ดพันธุ์เน่าเสียหาย หรือหากฝนทิ้งช่วงเมล็ดพันธุ์ไม่งอกหรืองอกไม่สม่ำเสมอ ก็ต้องไถหว่านใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองต้นทุนและเมล็ดพันธุ์ หรือหากไม่ไถหว่านใหม่ ก็ต้องไปหาซื้อต้นกล้าพันธุ์ข้าวจากเพื่อนชาวนามาปักดำ เพื่อไม่ให้พื้นที่ว่างเปล่าและเสียพื้นที่ทำนา
นางลำพูน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากประสบการณ์ทำนามาตั้งแต่เป็นเด็ก ซึ่งทำทั้งนาดำ นาหว่าน บางปีประสบปัญหาน้ำท่วม บางปีฝนทิ้งช่วง ต้นข้าวงอกไม่สม่ำเสมอ ได้ผลผลิตไม่คุ้มกับการลงทุน ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีพื้นที่ว่าง มีต้นกล้าพันธุ์ข้าวปักดำ และมีต้นข้าวเต็มท้องนา ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงได้คิดเพาะพันธุ์ต้นกล้าข้าวสำรอง เพื่อถอนไปปักดำ ปีแรกต้นกล้าเหลือ มีญาติพี่น้องและเพื่อนชาวนามาขอซื้อ จึงแบ่งขาย โดยขายมัดละ 1-2 บาท พอมีรายได้จากการขายต้นกล้าพันธุ์ข้าว ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานดำนา จึงคิดว่าน่าจะเพิ่มพื้นที่เพาะพันธุ์เพื่อขายพันธุ์ต้นกล้า จากเดิม 2 งานก็เพิ่มเป็น 1 ไร่ เพาะพันธุ์ข้าวขายมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 20-30 ปี ปัจจุบันขายมัดละ 6 บาท ก็จะมีรายได้จากการขายต้นกล้าฤดูกาลทำนา 20,000 บาท
นางลำพูนกล่าวในตอนท้ายว่า ในการเพาะพันธุ์ต้นกล้าข้าวนี้ นอกจากจะเพาะสำหรับนำไปปักดำที่นาตนเองแล้ว ประโยชน์ที่ได้อีกต่อหนึ่งคือถอนต้นกล้าขายให้กับเพื่อนชาวนา โดยใช้แรงงานในครัวเรือนและญาติพี่น้องช่วยกัน หลังจากหักค่าเมล็ดพันธุ์ ค่ารถไถ ค่าแรงแล้วเหลือ 5,000 บาท ก็ถือว่าดี ดีกว่าขายข้าวเปลือกซึ่งมีราคาตกต่ำเสียอีก ในฤดูทำนาปีหน้า คาดว่าจะขยายพื้นที่เพาะพันธุ์ต้นข้าวขายเพิ่มอีก เพราะปีนี้ขายดีมาก มีเพื่อนชาวนามาติดต่อขอซื้อหลายราย รายละ 500-1,000 มัดทีเดียว แต่เสียดายไม่พอขาย ปีหน้าจึงจะขยายพื้นที่เพาะพันธุ์ต้นข้าวขายดังกล่าว