
ลูกชาย ตาวัย 75 ชาวบุรีรัมย์ ที่ถูกน้องสาวพิการตาบอด กล่าวหาฮุบที่มรดก งัดหลักฐานโต้ครอบครัวจ่ายเงินไถ่ที่แปลงพิพาทที่ปู่นำไปจำนำไว้ และให้เงินส่วนต่างญาติพี่น้องทุกคน เมื่อปี 32 จึงเข้าครอบครองทำกินและเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด ไม่เคยมีใครโต้แย้งผ่านไป 20 กลับยื่นฟ้องศาล ยันไม่ได้ขัดคำสั่งศาลแต่ขอความเป็นธรรมให้ครอบครัวบ้าง ยุติธรรมและทนายอั๋น เตรียมลงพื้นที่ไกล่เกลี่ยหาข้อยุติ












จากกรณีที่นางสัมฤทธิ์ อายุ 66 ปี พิการตาบอด และนางทองดี อายุ 59 ปี สองพี่น้องชาวบ้านประดู่ ต.เมืองโพธิ์ อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ได้หอบเอกสารหลักฐานและคำพิพากษาศาลที่ชนะคดีแล้วตั้งแต่ปี 2557 กอดกันร้องไห้ ขอความช่วยเหลือกับนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์ หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตแล้วนายสวัสดิ์ พี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน ได้ฮุบที่ดินมรดกเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่เศษ ซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองทำกินเพียงผู้เดียว ทั้งที่แม่สั่งเสียไว้ก่อนตายให้แบ่งแก่พี่น้องทุกคนเท่ากัน จากนั้น ปี 2552 น้องชายและน้องสาวจำนวน 5 คนจึงร่วมกันเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง พี่ชายคนโต ที่ฮุบเอาที่ดินมรดกคนเดียว ต่อมาปี 2553 ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีคำพิพากษา ให้พี่ชายคนโตซึ่งเป็นจำเลย แบ่งที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวให้แก่น้องทั้ง 5 คน ที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องคนละ 1 ใน 7 ของจำนวนที่ดินที่พิพาท และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ทั้ง 5 ด้วย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่จำเลยยังได้ยื่นฎีกาอีกเมื่อปี 2557 แต่ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย ถือว่าคดีสิ้นสุด
แต่แม้น้องทั้ง 5 คนที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องพี่ชายคนโต ที่หวังฮุบที่ดินมรดกคนเดียว จะชนะคดีศาลสั่งให้แบ่งที่ดินพิพาทแล้วก็ตาม แต่พี่ชาย กลับไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล ยังไปล้อมรั้ว สร้างที่อยู่อาศัย ขุดสระครอบครองทำกินแต่เพียงผู้เดียว จนน้องชายทยอยเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน ปัจจุบันเหลือน้องสาว 2 คนที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งตาบอด อีกคนก็ต้องตระเวนไปรับจ้างหากินไปวันๆ เพราะไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง เพราะแม้ศาลจะตัดสินให้ชนะคดี แต่ผ่านไปกว่า 10 ปีก็ยังไม่มีใครสามารถเข้าไปทำกินในที่ดินดังกล่าวได้ เพราะพี่ชายขู่ว่าหากใครเข้าไปจะยิงให้ตาย ทุกคนจึงเกิดความกลัว สองพี่น้องจึงได้ร้องให้ทนายอั๋น ช่วยเหลือ เพราะเดือดร้อนไม่มีที่ทำกินตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (21 ม.ค.68) ทีมข่าวได้เดินทางไปยังที่ดินพิพาทดังกล่าวอีกครั้ง ก็พบกับนายสุชาติ อายุ 46 ปี ลูกชายของนายสวัสดิ์ ที่เป็นจำเลยในคดีแพ่งที่มีการฟ้องร้องกัน ซึ่งปัจจุบันเป็นบุคคลที่อ้างสิทธิ์ครอบครองและอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว ก็ได้นำเอกสารหลักฐาน อาทิ สัญญาเงินกู้ที่อ้างว่าทำไว้เป็นหลักฐานแทนการจำนำที่ดินระหว่างปู่ กับพี่ชายปู่ และใบเสร็จการเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่จ่ายในนามชื่อของนายสวัสดิ์ พ่อของตนเอง มาตลอดจนถึงปี 2553 ก็ประกาศให้ยุติการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่เหมือนกับที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
พร้อมได้ชี้แจงกรณีที่พ่อถูกกล่าวหาว่าฮุบที่มรดกนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อปี 2528 นายเชย ซึ่งเป็นปู่ ได้นำที่ดินจำนำให้กับนายสาย พี่ชายของปู่ในราคา 15,000 บาท โดยมีการทำสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาปี 2532 ครอบครัวของตนเอง ก็ได้หาเงินไปไถ่ที่ดินดังกล่าวคืนจากนายสาย โดยจ่ายค่าไถ่พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท แล้วก็จ่ายส่วนต่างให้กับน้องชาย น้องสายของพ่อ อีกจำนวน 60,000 บาท รวมตอนนั้นครอบครัวต้องจ่ายเงินไปทั้งหมด 100,000 บาท โดยพี่น้องของพ่อไม่มีใครช่วยจ่ายเลย จากนั้นนายสาย พี่ชายของปู่ก็คืนสัญญาเงินกู้ให้กับพ่อ ที่เป็นคนหาเงินไปไถ่ที่คืน
หลังจากนั้นพ่อก็เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาตลอด ก็ไม่เคยมีใครอ้างสิทธิ์อะไร กระทั่งปู่ย่าเสียชีวิต จู่ๆ ปี 2552 น้องชาย และน้องสาวของพ่อ ก็ร่วมกันยื่นฟ้องกล่าวหาว่าพ่อฮุบที่มรดก ต้องการขอแบ่งที่ดินจากพ่อ ครอบครัวตนก็ต้องเสียเงินจ้างทนายความต่อสู้คดีมาตลอด แต่สุดท้ายศาลกลับพิพากษาให้พ่อของตนเองแบ่งที่พิพาทให้กับน้องๆ ที่ยื่นฟ้อง ซึ่งมันขัดกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
นายสุชาติ บอกว่า พ่อไม่ได้มีเจตนาจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล แต่อยากให้มองถึงข้อเท็จจริงและเห็นใจครอบครัวตนด้วยที่ต้องกู้ยืมเงินมาจ่ายค่าไถ่ถอนที่ดินและส่วนต่างให้กับพี่น้องแล้ว แต่สุดท้ายกลับยังต้องแบ่งที่ให้อีก ตนมองว่าหากสามารถออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ ตั้งแต่ที่ไถ่ถอนที่คืนก็คงไม่เกิดปัญหา ทั้งๆ ที่ที่ดินรอบข้างมีเอกสารสิทธิ์ไปหมดแล้ว อยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูปัญหาตรงนี้ด้วย เพราะไม่งั้นก็จะเกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมแบบนี้ และที่ตนยังอยู่อาศัยในที่ดินตรงนี้ก็เพื่อรักษาสิทธิ์เพราะได้ที่ดินมาและครอบครองทำกินโดยถูกต้อง หากตนไม่รักษาสิทธิ์ก็คงมีคนอื่นเข้าไปอ้างสิทธิ์ เพราะเป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์อะไร และครอบครัวตนก็ทำกินในที่ดินกว่า 20 ปีแล้วกลับออกเอกสาริสิทธิ์อะไรไม่ได้
ส่วนกรณีที่อา หรือน้องของพ่อจะเรียกร้องสิทธิ์ขอแบ่ง หรือจะฟ้องขับไล่ ตนก็พร้อมจะนำหลักฐานเข้าต่อสู้คดีเช่นกัน
ขณะที่นางโพะ อายุ 74 ปี ภรรยานายสวัสดิ์ ก็ยืนยันว่าที่ดินดังกล่าว สามีตนเป็นคนจ่ายเงินไถ่ถอนจากพี่ชายของปู่ มาและได้จ่ายเงินส่วนต่างให้กับน้อง และพ่อแม่ไปแล้ว รวมเป็นเงิน 100,000 บาท หลังจากนั้นครอบครัวตนก็เข้าไปครอบครองทำกิน และเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด แต่จู่ๆ น้องสามีรวมตัวกันฟ้องเพื่อเรียกร้องเอาส่วนแบ่งที่ดิน ซึ่งไม่เป็นธรรมกับครอบครัวตน ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครช่วยจ่ายค่าไถ่ที่ดิน แต่พอพ่อแม่ตายกลับจะมาเรียกร้องสิทธิ์อ้างเป็นที่มรดก ยืนยันว่าหากญาติสามีฟ้องก็พร้อมจะต่อสู้คดีเพื่อความยุติธรรมกับครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางยุติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ และทนายอั๋น ก็เตรียมจะร่วมเป็นเจ้าภาพในการเจรจาไกล่เกลี่ย หาทางออกและข้อยุติ กรณีดังกล่าวอีกครั้ง