ยายวัย 81 ปี ชาวบ้านคำแมด ตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ น้ำตาตกใน หลังลูกสาวในไส้แอบนำโฉนดที่ดินไปแบ่งขายและก่อหนี้ สุดท้ายถูกนายทุนยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ร้องยุติธรรมช่วยเหลือ ด้านทนายความประจำสำนักงานยุติธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ลงพื้นที่ อึ้ง! พบสภาพความเป็นอยู่หดหู่ใจ เนื่องจากป่วยเบาหวานและไตเสื่อม เหลือค่าไตเพียง 3% และยังเลี้ยงลูกสาวพิการ นอนติดเตียงอีก 2 คน
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ที่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 13 บ้านคำแมด ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ แสงสิริวัฒนะ ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่นางหงุ่น ภูมิชัย อายุ 81 ปี เจ้าของบ้าน หลังร้องขอความเป็นธรรมและขอช่วยเหลือด้านคดีความกับสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ เหตุได้รับความเดือดร้อน หลังลูกสาวแอบนำโฉนดที่ดินจำนวน 18 ไร่ ไปแบ่งขายและก่อหนี้ ล่าสุดส่วนที่เป็นบ้านพักอาศัยอยู่ในชั้นบังคับคดี และกำลังถูกนายทุนประกาศขายทอดตลาด
นายสุวิทย์ แสงสิริวัฒนะ ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เห็นสภาพครอบครัวและความเป็นอยู่ของนางหงุ่นเจ้าของบ้านแล้ว รู้สึกหดหู่ใจมาก เนื่องจากนางหงุ่นซึ่งเป็นผู้สูงวัย ป่วยเป็นโรคเบาหวานและมีอาการไตเสื่อมทั้ง 2 ข้าง ค่าไตเหลือเพียง 3% นอกจากนี้ยังอาศัยและเลี้ยงดูลูกพิการและป่วยติดเตียง 2 คน คือนางสาวสมนึก ภูมิชัย อายุ 60 ปี และนางสาววิลัยวรรณ ภูมิชัย อายุ 58 ปี
นายสุวิทย์กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ตนลงพื้นที่ครั้งนี้ เริ่มจากเพื่อนบ้านได้พานางหงุ่น ไปร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือที่สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ หลังจากรับเรื่องแล้วเจ้าหน้าที่ยุติธรรมฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้มีการอนุมัติช่วยเหลือทางคดี ขณะที่ตนซึ่งเป็นทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ ก็ได้ตรวจสอบคำร้องและรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสาร จากหน่วยง่านที่เกี่ยวข้อง ยังได้พบว่าที่ดินในส่วนที่ปลูกสร้างบ้าน ซึ่งนางหงุ่นและลูกสาวพิการ 2 คนอาศัยอยู่นั้น อยู่ในชั้นบังคับคดีและกำลังอยู่ระหว่างขายทอดตลาด จึงได้เดินทางมาให้ความช่วยเหลือด้านคดีความ เพื่อดำเนินการในส่วนของกระบวนยุติธรรม โดยในเบื้องต้นจะดำเนินการร้องขัดทรัพย์การขายทอดตลาดไว้ก่อน เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์
นายสุวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมนางหงุ่นมีที่ดินประมาณ 18 ไร่เศษ มีชื่อสามีเป็นคนถือกรรมสิทธิ์ โดยมีลูกด้วยกัน 6 คน หลังจากสามีเสียชีวิต เมื่อปี 2554 ลูกสาวคนสุดท้องได้ขอเป็นผู้จัดการมรดก จากนั้นปี 2556 ลูกสาวคนสุดท้องได้จัดการโอนที่ดินมรดกให้ทายาท 4 ไร่ ส่วนที่เหลือได้โอนเป็นชื่อตนเองแล้วทำการแบ่งขายไปเกือบทั้งหมด เหลือที่ดินเพียง 3 ไร่เศษเป็นของตน รวมบ้านที่นางหงุ่นและลูกสาวพิการ 2 คนอาศัยอยู่ด้วย โดยที่ดินที่เป็นส่วนที่ปลูกบ้านอาศัยแบ่งแยกไว้ 2 ไร่เศษ นางหงุ่นเป็นคนเก็บรักษาโฉนดไว้ ที่ดินที่เหลือทั้งหมดลูกสาวคนสุดท้องได้ขายให้กับนายทุนจนหมดแล้ว จึงย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับสามี กระทั่งปี 2563 ลูกสาวคนดังกล่าวได้ไปแจ้งว่าโฉนดที่ดินหาย เพื่อขอออกโฉนดใหม่ ในระหว่างนั้นลูกสาวคนดังกล่าวมีหนี้สินหลายแห่ง จนกระทั่งถูกฟ้องเป็นคดีและคดีอยู่ระหว่างรอประกาศขายทอดตลาด ซึ่งหมายถึงว่าตอนนี้บ้านที่นางหงุ่นอาศัย ถูกบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาด โดยหมายบังคับคดีลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ขณะที่นางหงุ่น ภูมิชัย อายุ 81 ปี เจ้าของบ้าน กล่าวด้วยอาการเจ็บปวดใจ ว่าที่ดินจำนวน 18 ไร่ดังกล่าวเป็นสมบัติที่ตนและสามีได้จากการซื้อจากเพื่อนบ้าน ถือเป็นสินสมสร้างที่ 2 ผัวเมียช่วยกันหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อ ใช้ปลูกข้าวและเป็นมรดกสำหรับทำกินเลี้ยงดูลูกสาวลูกชาย 6 คนจนเติบใหญ่ ก่อนสามีเสียชีวิตได้นำโฉนดไปจำนองกับแหล่งเงินทุน เพื่อเป็นทุนทำนาและเลี้ยงลูก หลังจากสามีเสียชีวิตจึงติดค้างชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกับแหล่งเงินทุน ลูกสาวคนสุดท้องจึงได้ขอเป็นผู้จัดการมรดก โดยหาเงินไปไถ่ถอนจากแหล่งเงินทุน ซึ่งตนก็ยินยอมให้เป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากอายุมากแล้ว และสุขภาพไม่ดี ขณะที่ลูกๆอีก 5 คนก็เห็นชอบด้วย ที่จะให้ลูกสาวคนสุดท้องเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าว
นางหงุ่นกล่าวอีกว่า ด้วยความรักและเชื่อใจลูกสาวคนสุดท้องให้เป็นผู้จัดการมรกดดังกล่าว ไม่นึกมาก่อนเลยว่าลูกสาวคนนี้ซึ่งเป็นลูกในไส้แท้ๆ ที่ตนรักมากจะแอบโอนเป็นชื่อตนและแอบแบ่งขายดังกล่าว ทำให้ตนเศร้าใจ ร้องไห้ทุกวัน จนน้ำตาตกใน และแทบจะตรอมใจ เนื่องจากรู้สึกเสียใจที่ลูกสาวแอบโอนที่ดินและแบ่งขายให้กับคนอื่น นอกจากนี้บางส่วนยังนำไปขายฝากกับนายทุน และยังทราบว่าลูกสาวคนเล็กมีพฤติกรรมหลอกลวง โดยไปแจ้งความว่าโฉนดที่ดินบางแปลง เช่นแปลงที่แบ่งเป็นที่ปลูกสร้างบ้านหาย และไปขอออกใบแทนกับสำนักงานที่ดิน ขณะที่โฉนดฉบับจริงดังกล่าว ลูกสาวคนดังกล่าวได้มอบให้ตนซึ่งเป็นแม่ได้เก็บรักษาไว้ พอทราบว่าลูกสาวคนคนสุดท้องไปก่อหนี้และกำลังจะถูกขายทอดตลาด จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ให้พาไปร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์
“สุขภาพตนไม่ดี นอกจากจะอายุมากแล้ว ยังลุกเดินลำบาก เพราะสูงอายุ เป็นโรคเบาหวานและมีโรคประจำตัว ไตเสื่อมทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ยังต้องคอยป้อนน้ำป้อนข้าว ให้ลูกที่พิการและติดเตียงอีก 2 คน ได้รับความลำบากเดือดร้อนทั้งความเป็นอยู่และการใช้ชีวิต ทั้งบ้านที่ปลูกสร้างเพื่อพักอาศัยกับลูกพิการยังจะถูกขายทอดตลาด เพราะลูกสาวคนสุดท้องก่อเหตุ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ลูกคนอื่นๆก็แยกย้ายไปมีครอบครัวและทำมาหากินที่อื่นหมด จึงขอความช่วยเหลือจากกระบวนการยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมและขอที่ดินที่อยู่อาศัยกับลูกที่พิการคืนกลับมาโดยชอบธรรม ทั้งนี้ ได้ตั้งทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ดำเนินการและให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ในส่วนของการขึ้นโรงขึ้นศาล ก็คงต้องขอความเมตตาจากทางศาล พิจารณาคดีความผ่านทางออนไลน์ เพราะตนคงจะไม่สามารถไปขึ้นศาลด้วยตนเองได้ เนื่องจากไม่สะดวกหลายอย่าง ทั้งสภาพร่างกายและต้องเลี้ยงดูลูกพิการ 2 คนดังกล่าว” นางหงุ่นกล่าวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลักฐานที่ดิน 18 ไร่ ที่นางหงุ่น ภูมิชัย ระบุและมีอยู่ในปัจจุบันลูกสาวคนเล็กโอนเป็นชื่อตนและขายไปแล้ว 4 แปลง แบ่งให้พี่สาวและพี่ชาย 2 แปลง จำนวน 4 ไร่ และส่วนที่เหลือคือที่ปลูกสร้างบ้านกำลังจะถูกนายทุนยึด