วันที่ 6 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานจากบ้านนาโดน หมู่ที่ 4 ต.ขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม ว่า พบต้นลิ้นจี่ซึ่งเป็นแม่พันธุ์ต้นกำเนิดลิ้นจี่ชื่อดังประจำจังหวัดนครพนม(พันธุ์ นพ.1) ปัจจุบันมีอายุเกือบ 70 ปี ขนาดลำต้นความสูงประมาณ 10 เมตร ลำต้นเส้นรอบวงราว 2 เมตร ซึ่งเป็นต้นลิ้นจี่ที่นักวิชาการขยายพันธุ์จากการพัฒนาด้านผลผลิตทางการเกษตร จากเดิมชาวสวนปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ไว้รับประทานกันเอง กลายมาปลูกด้วยกิ่งตอน และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย เนื้อกรอบ หวานฉ่ำ รสเปรี้ยวอมหวาน อร่อยไม่แพ้ผลผลิตจากภาคเหนือ ภายหลังได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าเกษตร GI บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ อีกทั้งกลายเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ต.ขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม โดยเฉพาะบ้านนาโดนมายาวนานกว่า 60 ปี ปัจจุบันพื้นที่ตลอดแนวริมฝั่งน้ำโขงบ้านนาโดน มีการปลูกลิ้นจี่สายพันธุ์ นพ.1 มากกว่า 1,500 ไร่ สร้างรายได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท
นางวันเพ็ญ สิงห์ทอง อายุ 38 ปี เกษตรกรสวนลิ้นจี่บ้านนาโดน เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือน มีนาคม-เมษายนของทุกปี ถือเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตลิ้นจี่ เพื่อส่งออกขายสู่ท้องตลาด เยอะสุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถ้าทั้งปีไหนอากาศหนาวจัด จะทำให้ต้นลิ้นจี่ออกดอกมากและผลดก การเก็บผลผลิตตกประมาณ 1.5 ตัน หรือ 2 ตัน/ไร่ ส่วนการดูแลถือว่าง่าย ให้น้ำปุ๋ยเหมือนพืชการเกษตรทั่วไป ที่สำคัญพื้นที่บ้านนาโดน มีความได้เปรียบเป็นพื้นที่ดินติดน้ำโขง ทำให้ผลผลิตดี ลูกดก ผลโต และมีรสชาติอร่อยกว่าพื้นที่อื่น สำหรับราคาหน้าสวนซื้อขายราคากิโลกรัมละ 80 บาท มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อตลอด ไม่มีปัญหาเรื่องการตลาด ถ้าไม่ติดเรื่องโควิดระบาด จะมีพ่อค้าทางประเทศจีนมาเหมารับซื้อจากสวนจนหมดทุกปี แต่ในปีนี้ทางการจีนเข้มงวดการนำเข้า จึงนำออกขายในประเทศยังถือว่าตลาดมีความต้องการลิ้นจี่นครพนมมากพอสมควร เพราะผลผลิตมีคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เกษตรกรบางรายสร้างรายได้ปีละเป็นล้านบาท ที่สำคัญการปลูกใช้ระยะเวลาสั้นมากแค่ 2 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้ และลิ้นจี่ต้นหนึ่งเก็บผลผลิตต่อเนื่องนานมากกว่า 20 ปี ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนมาก
ทางด้าน นายวีระ สุทธิโสม อายุ 83 ปี อดีตข้าราชการสังกัดกรมไปรษณีย์ เปิดเผยว่า สำหรับต้นลิ้นจี่ต้นกำเนิดสายพันธุ์ นพ.1 อายุมากเกือบ 70 ปี ปัจจุบันยังสามารถเก็บผลผลิต และรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม โดยตนปลูกไว้ข้างบ้านเลขที่ 48 บ้านนาโดน ต.ขามเฒ่า นอกจากนี้นายวีระยังได้เล่าความเป็นมาของต้นลิ้นจี่ว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2499 ขณะที่ตนบวชเรียนเป็นสามเณรที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ได้มีญาติโยมนำลิ้นจี่สายพันธุ์ทางภาคเหนือ มาถวายหลวงปู่จันทร์ เขมิโย เจ้าอาวาส และเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ตนได้ชิมแล้วมีรสชาติดี จึงนำเมล็ดไปปลูกไว้ที่บ้าน จำนวน 4 ต้น เพราะคิดทีแรกว่าจะปลูกไว้กินในบ้าน ปัจจุบันเหลือเพียงต้นเดียว โดยไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์ดังในเวลาต่อมา ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน
นายวีระเล่าต่อว่าหลังจากปลูกไว้ประมาณ 10 กว่าปี ลิ้นจี่ได้เริ่มออกผล และมีรสชาติอร่อย ต่อมาปี 2517 สถานีทดลองพืชสวนนครพนม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์วิจัยพัฒนาการเกษตรจังหวัดนครพนม ได้มาศึกษาวิจัยทำกิ่งตอน จนเป็นสายพันธุ์ลิ้นจี่ชื่อดัง ได้ชื่อใหม่เป็นสายพันธุ์ นพ.1 ที่ให้ผลผลิตลูกดกมีคุณภาพ รสชาติอร่อย ไม่แพ้ลิ้นจี่ทางภาคเหนือ และมีการขยายผลออกสู่ชุมชนให้ชาวบ้านปลูกเป็นอาชีพสร้างรายได้มาถึงปัจจุบัน บางครอบครัวมีพื้นที่ปลูกเยอะ สามารถสร้างรายได้ทำเงินปีละนับล้านบาท โดยต้นลิ้นจี่ต้นแรกที่เหลือเพียงต้นเดียวเป็นจุดกำเนิดสายพันธุ์ประจำถิ่น สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนมหาศาล รวมปีละเกือบ 100 ล้านบาท ตนรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้นำเมล็ดมาปลูก ไม่คิดว่าจะกลายเป็นพืชผลทางการเกษตรที่สร้างรายได้ให้ชุมชน