ผู้อำนวยการโรงเรียนสาววัย 42 ปี พร้อมนิติกรประจำสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 และเพื่อนผู้บริหาร หอบเอกสารเดินสายแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวนและกระบวนการยุติธรรมเอาผิดกับผู้หญิงรายหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็น “คุณนาย” ของข้าราชการระดับสูง กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ทั้งแชทข้อความด้วยถ้อยคำหยาบคาย ข่มขู่ เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรี ทำให้ได้รับความอับอายทั้งที่ไม่เป็นความจริง ลั่นเอาผิดให้ถึงที่สุด
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ที่ สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ นางสาวสุจิตรา ศรีเสน อายุ 42 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำปุ้น อ.นาคู พร้อมด้วย ดร.อาทิตยา บริพันธ์ นิติกร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 และเพื่อนผู้บริหาร 3 คน นำเอกสารที่เป็นข้อความการแชททางไลน์ เข้าขอคำปรึกษาด้านคดีความและแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.หญิง กาญจนา ถาวรฟัง รอง ผกก.สภ.เขาวง เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้หญิงรายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็น “คุณนาย” หรือภรรยาข้าราชการระดับสูงคนหนึ่งใน อ.นาคู ในข้อหาหมิ่นประมาท และข่มขู่ทำให้ได้รับความหวาดกลัว
โดยก่อนหน้านี้นางสาวสุจิตรา ศรีเสน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำปุ้น อ.นาคู พร้อมด้วย ดร.อาทิตยา บริพันธ์ นิติกร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 และเพื่อนผู้บริหารโรงเรียน ได้เดินทางไปปรึกษาด้านคดีความที่ สภ.นาคู ก่อนที่จะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มเติมที่ สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ โดยมี พ.ต.อ.กันตพัฒน์ ภาคธรรม ผกก.สภ.เขาวงและพนักงานสอบสวน ให้คำปรึกษาและรับแจ้งความ
นางสาวสุจิตรา ศรีเสน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำปุ้น กล่าวว่า สาเหตุที่ตนพร้อมด้วยนิติกรเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ในครั้งนี้ เนื่องจากถูกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อ้างตัวว่าเป็นภรรยาผู้บริหารระดับสูงใน อ.นาคู หมิ่นประมาทและข่มขู่ทางแชทไลน์ ทั้งที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เป็นความจริง ซึ่งตนได้เก็บหลักฐานการแชทและเอกสารประกอบอื่นๆไว้หมดแล้ว โดยเหตุการณ์เริ่มจากวันที่ 30 ก.ย.65 ที่ผ่านมา ซึ่งสมาคมครูและบุคลากรทางการศึกษา อ.นาคู ได้จัดงานเลี้ยงเกษียณที่โรงเรียนบ้านนาคูพัฒนา “กรป.กลางอุปถัมภ์” ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงานจึงไปร่วมงานด้วย พอเลิกงานและกลับมาถึงบ้านหลังเวลา 21.00 น. ก็มีแชทจากผู้หญิงคนหนึ่งทักเข้ามา อ้างว่าได้ไอดีจากคนอื่นจึงทักมา เพื่อพุดคุยเรื่องที่ตนมีความสัมพันธ์กับสามีของเขา ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงใน อ.นาคู และขอให้หยุดการกระทำนั้นเสีย
นางสาวสุจิตรา กล่าวอีกว่าการแชทด้วยข้อความของผู้หญิงรายดังกล่าว ทำให้ตนรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีของผู้หญิงคนดังกล่าว ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลย จู่ๆก็ทักมากล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง เพราะตนกับผู้หญิงคนนี้รวมทั้งสามีของเขา ตนไม่รู้จักมักคุ้น เคยเห็นออกงานเพียงครั้ง 2 ครั้งเท่านั้น ตนพยายามอธิบายหลายครั้ง แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวยังแชทมาต่อว่าตนอีกหลายครั้ง ถ้อยคำหลายแชทบ่งบอกถึงการดูหมิ่น เหยียดหยาม หยาบคาย รวมทั้งเข้าข่ายข่มขู่ จะใช้สิทธิ์คุณนายเข้าไปหาที่โรงเรียน ทำให้ตนรู้สึกหวาดกลัว ไม่มีสมาธิในการทำงาน และรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติอย่างแรง เนื่องจากทราบว่าผู้หญิงคนนี้ ยังมีการแชทไปถึงคนอื่นอีกด้วย ทำให้สังคมมองว่าตนเป็นคนไม่ดี คนรู้ทั้งอำเภอ ทำให้ผู้ได้รับแชทเข้าใจผิด กระทบถึงจิตใจแม่ที่สูงอายุและคนในครอบครัว คิดว่าตนประพฤติตนเสื่อมเสีย เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรี จึงได้มาแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้หญิงคนนั้นให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นหรือคุณนายคนคนดังกล่าวที่ตนมาแจ้งความ เป็นตัวจริง เสียงจริง ยืนยันจากภาพโปรไฟล์ และเคยเห็นตัวจริงทั้งภาพนิ่งและคลิป โดยมีภาพสามีของผู้หญิงคนนี้ประกบคู่ด้วย จึงยืนยันว่าเป็นตัวจริง ไม่ใช่คนอื่นแอบอ้างแน่นอน
ขณะที่ ดร.อาทิตยา บริพันธ์ นิติกร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ดูแลด้านกฎหมายและคดีของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ทั้ง 7 อำเภอ อย่างไรก็ตาม กรณีของนางสาวสุจิตราดังกล่าว หลังจากได้รับเรื่องแล้ว ได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชา รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ในสายงานผู้บังคับบัญชาของสามีผู้หญิงคนดังกล่าวอีกหลายท่าน ก่อนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานเข้าแจ้งความในครั้งนี้ สำหรับหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อว่าจะสามารถเอาผิดกับผู้หญิงคนดังกล่าวได้ ในข้อหาหมิ่นประมาท และข่มขู่ให้ได้รับความเกรงกลัว
ด้าน พ.ต.อ.กันตพัฒน์ ภาคธรรม ผกก.สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งลงมารับเรื่องด้วยตนเองพร้อมพนักงานสอบสวน กล่าวว่า หลังรับแจ้งความแล้วจะรวบรวมพยานหลักฐาน และเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำให้เร็วที่สุด หรือให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ จะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย