ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 24 สั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ปกครองร้องลูกชายนักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนชื่อดังในอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ถูกครูตบหน้าและบ้องหู ยืนยันให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ขณะที่ผกก.สภ.เขาวงระบุทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะยื่นฟ้องร้องกันเอง แต่หากประสงค์แจ้งความดำเนินคดีตำรวจก็ต้องดำเนินการกฎหมายและให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
จากกรณีมีผู้ปกครองโพสต์เฟชบุ๊ค ระบุข้อความว่า ลูกชายถูกครูในโรงเรียนตบหน้าและบ้องหู คาดว่าสาเหตุเกิดทรงผมผิดระเบียบ ซึ่งผู้ปกครองรายดังกล่าวมองว่าเป็นการกระทำเกิดกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งหลังเกิดเหตุเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ และยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งถูกครูฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่นำชื่อและเรื่องราวไปโพสต์จำนวน 300,000 บาท ขณะที่ครูฝ่ายปกครองโรงเรียนดังกล่าวยอมรับว่าตบหน้าเด็กจริง แต่ยืนยันว่าไม่ได้ตบแรง เพียงแต่เป็นการอบรมสั่งสอนและว่ากล่าวตักเตือนเรื่องทรงผมของเด็กที่ผิดระเบียบ แต่เด็กกลับไม่ยอมฟัง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 นายทวี ทะนอก ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 24 (ผอ.สพม.24) กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวทางสพม.24 ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงเรียนและได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของเด็กแล้ว ซึ่งได้มีคำสั่งให้นายธีรภัทร วงษ์สว่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนเขาวงพิทยาคารตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายผลการตรวจสอบเข้ามาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เบื้องต้นจากการพูดคุยทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ครูฝ่ายปกครองก็ยอมรับว่าทำจริง แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำแรง และไม่มีเจตนาหรืออคติกับเด็ก เพียงแต่อยากอบรมสั่งสอนทำหน้าที่ครู ว่ากล่าวตักเตือนเรื่องทรงผมเท่านั้น อย่างไรก็ตามทางสพม.24 จะต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย หรือหากผลสอบออกมาว่าอย่างไรก็มีการดำเนินตามระเบียบขั้นตอนต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.กันตพัฒน์ ภาคธรรม ผกก.สภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าวทางผู้ปกครองของเด็กได้เข้ามาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สภ.เขาวงตั้งแต่วันเกิดเหตุ 20 กรกฎาคม 2563 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวเด็กไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ผู้ปกครองเองมีความประสงค์ที่จะลงบันทึกไว้ประจำวันไว้เท่านั้น และจะนำหลักฐานไปยื่นฟ้องร้องศาลเอง ส่วนครูผู้ที่ถูกกล่าวหาก็เช่นกันมีความประสงค์ที่จะยื่นฟ้องร้องเอง อย่างไรก็ตามหากผู้ปกครองจะเข้ามาแจ้งความประสงค์จะดำเนินเป็นคดีทางตำรวจก็พร้อมที่จะดำเนินการเต็มที่ และต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่ยืนยันจะต้องให้ความเป็นกับทั้งสองฝ่าย