ข่าวด่วน ข่าวอาชญากรรม

บุรีรัมย์ ทนายอั๋นพาเหยื่อถูกเต็นท์รถโกงกว่า 100 ล้านบุกโรงพักสตึกติดตามคดียืดเยื้อกว่า 6 ปีประกาศท้าชนคนอยู่เบื้องหลัง

ทนายอั๋นพาเหยื่อจากหลายจังหวัดภาคอีสานที่ถูกเต็นท์รถมือสองชื่อดังที่บุรีรัมย์ ฉ้อโกงซื้อขาย-แลกเปลี่ยนรถ บุกโรงพักสตึกทวงถามคืบหน้าคดีหลังยืดเยื้อมานานกว่า 6 ปี เผยขณะนี้มีผู้เสียหายกว่า 200 ราย ยอดความเสียหายเกือบ 100 ล้าน ป้าวัย 59 ปีสุดช้ำจากเคยมีรถเกี่ยวสิบล้อรับจ้างเกี่ยวข้องถมดินถูกโกงหมดตัวเหลือแค่ซาเล้งตระเวนขายข้าวโพด ทนายอั๋นประกาศท้าชนคนอยู่เบื้องหลังเสี่ยงเต้นรถ

วันที่ 1 ก.ย. 2566 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น ได้พาผู้เสียหายที่ถูกเต็นท์รถมือสองรายใหญ่ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ฉ้อโกงในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถทั้งรายเก่าและรายใหม่กว่า 100 คนจากหลายจังหวัดภาคอีสาน อาทิ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา บุกโรงพักสตึก จ.บุรีรัมย์ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีหลังยืดเยื้อมานานกว่า 6 ปี ทำให้ได้รับความเดือดร้อนบางคนเสียทั้งรถหมดตัวทั้งถูกฟ้องยึดบ้านที่ดิน

โดย พ.ต.อ.วชิรวิทย์ วรรณธานี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสตึก ชี้แจงว่า ภายหลังจากที่มีผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์กรณีถูกเต้นรถฉ้อโกงตั้งแต่ปี 2561 – 2566 รวมกว่า 240 คน มูลค่าความเสียหายเกือบ 100 ล้านบาท ภายหลังรับเรื่องทางพนักงานสอบสวนก็ได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้อัยการจังหวัดพิจารณาแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของอัยการที่จะพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ในส่วนของตำรวจยืนยันว่าดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

โดยเต็นท์รถดังกล่าวมีพฤติการณ์รับซื้อขายรถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์ โดยรับที่จะใช้จ่ายค่างวดค่าเบี้ยปรับให้ลูกค้า และปิดบัญชีให้ หลังจากที่ลูกค้าขายรถยนต์ให้ทางเต็นท์แล้ว กลับไม่ได้ปิดบัญชี และไม่จ่ายส่วนต่างให้ตามที่ตกลง เป็นเหตุให้ลูกค้าถูกฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อที่มีอยู่เดิม บางรายต้องผ่อนกุญแจเปล่าๆ เพราะเมื่อลูกค้าขอรถคืนก็จะแจ้งลูกค้าว่าได้ขายรถไปแล้ว แต่ไม่ยอมปิดงวดไฟแนนซ์เดิมทำให้ลูกค้าถูกฟ้อง ส่วนลูกค้าที่ซื้อรถต่อก็ไม่ทราบว่ารถติดไฟแนนซ์ และโดนไฟแนนซ์เดิมตามยึด และเมื่อผ่อนหมดก็ไม่สามารถโอนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ ส่วนเต็นท์ที่รับซื้อไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งมีพฤติการณ์ในการขายรถยนต์ให้ลูกค้าโดยไม่แจ้งแหล่งที่มาของรถยนต์ให้ลูกค้าได้ทราบ เมื่อผ่อนชำระแล้วก็ไม่ได้เล่มทะเบียนหรือสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ เมื่อนำรถยนต์ไปคืนให้ก็ไม่รับคืน กลับบ่ายเบี่ยงให้เอารถคันใหม่ซึ่งราคาสูงกว่าเดิม สุดท้ายผู้เสียหายต้องถูกยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเพราะผิดสัญญาที่ทำไว้กับเต็นท์

นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บอกว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายคดีที่ถูกเต้นรถฉ้อโกงจากหลายจังหวัดภาคอีสานมาติดตามทวงถามความคืบหน้าคดีที่โรงพักสตึก เพราะคดีดังกล่าวยืดเยื้อมานานถึง ปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรแต่เท่าที่ได้รับทราบข้อมูลจากผู้เสียหายก็บอกว่า เนื่องจากผู้ต้องหามีญาติเป็นอัยการจึงทำให้คดีล่าช้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่อย่างไร แต่หลังจากมาติดตามทวงถามความคืบหน้าคดีที่ สภ.สตึกแล้ว ก็จะเดินทางไปสอบถามความคืบหน้าที่อัยการจังหวัดบุรีรัมย์ด้วย ส่วนตัวไม่รู้ว่าจะมีใครอยู่เบื้องหลังเต้นรถหรือไม่อย่างไรและจะใหญ่แค่ไหน แต่ตนพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสีย เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งหากการเดินทางมาติดตามคดีทั้งที่โรงพักและอัยการก็จะพาผู้เสียหายเดินหน้าร้องนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ปปช.ต่อไป

ด้าน น.ส.สมแบ็งค์ พันธ์มหา อายุ 59 ปี ชาว อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม หนึ่งในผู้เสียหาย บอกว่า ก่อนหน้านี้ตนและสามีมีอาชีพรับจ้างเกี่ยวข้าว และถมดิน เพราะมีรถเกี่ยว รถบรรทุกรถเกี่ยว และรถสิบล้อเป็นของตัวเอง ก็มีรายได้เลี้ยงครอบครัวโดยไม่เดือดร้อน แต่จู่ๆ เมื่อต้นปี 2565 เจ้าของเต้นท์รถมือสองก็มาที่บ้านมาถามว่าอยากขายรถหรือไม่ จะให้ราคาสูงโดยโน้มน้าวบอกว่าถ้าตกลงขายจะให้เงินสดทันที ตนจึงคุยกับสามีบอกว่าเราก็อายุมากแล้วและลูกๆ ก็มีอาชีพอื่นทำแล้ว ก็เลยตัดสินใจขายรถทั้ง 3 คัน โดยเต็นท์รถบอกว่าจะให้ราคากว่า 800,000 บาท แต่พอไปทำเรื่องซื้อขายที่เต็นท์ ตอนแรกให้เงินมาเพียง 145,000 บาท แล้วบอกว่าที่เหลือค่อยมาเอาตอนเช้า ตนก็หลงเชื่อแต่พอเช้าอีกวันมาถามก็บ่ายเบี่ยงอ้างโน่นอ้างนี้ตลอดกระทั่งผ่านไปหลายเดือนก็ไม่ได้เงินสักที จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความเมื่อเดือน ก.ย.2565 แต่จนถึงขณะนี้คดีก็ไม่คืบหน้า ทุกวันนี้หมดตัวต้องเอารถซาเล้งมาเร่ขายข้าวโพด และขนมเพื่อเลี้ยงชีพ จากที่ถูกเต็นท์โกงไม่ยอมจ่ายเงินที่ขายรถให้ก็กะจะเอาไว้ใช้ตอนแก่ ตอนนี้เดือดร้อนมากอยากให้

ส่วนเจ้าของเต็นท์รถเพิ่งถูกจับกุมในพื้นที่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ตามหมายจับคดีทำร้ายร่างกายและทำให้เสียทรัพย์ ที่มีผู้แจ้งความไว้ในท้องที่ จ.สุรินทร์ ขณะนี้ถูกฝากขังที่เรือนจำรัตนบุรี