พิษโควิด-19 ลามหนัก เหมือนโรคร้ายและผีร้ายคุกคามชีวิต ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตชาวบ้านในเขตชนบท ต้องแสวงหาที่พึ่งเพื่อความสบายใจ และปลอดภัยจากการติดเชื้อ ล่าสุดพบ 2 หมู่บ้านในตำบลหนองตอกแป้น อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ นำเสื้อแดง ผ้าแดง หนามพุทราและกิ่งกะเพรา มาแขวนไว้หน้าบ้าน เชื่อสามารถป้องกันไวรัสโควิดและผีร้ายได้ผล
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าที่บ้านหนองบัวน้อย หมู่ 3 และบ้านหนองบัวนาดี หมู่ 7 ต.หนองตอกแป้น อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกัน ตั้งอยู่กลางทุ่งกว้าง พื้นที่ห่างไกล เขตติดต่อกับ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม มีชาวบ้านนำเสื้อสีแดง ผ้าสีแดง กิ่งพุทราที่มีหนามแหลมคม และกิ่งกะเพรา มาแขวนไว้ที่ประตูบ้านและหน้าบ้านเกือบทุกหลังคาเรือน สร้างความแปลกใจให้กับคนต่างถิ่นที่เดินทางผ่านมาเห็นเป็นอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ พบนายรังสรรค์ โพธิ์ชัย กำนันตำบลหนองตอกแป้น อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ โดยระบุว่า สาเหตุที่ชาวบ้านนำเสื้อแดง ผ้าแดง กิ่งพุทราหนาม และกิ่งกะเพรามาแขวนที่หน้าบ้านดังกล่าว จากการสอบถามชาวบ้าน ทราบว่า หลังจากมีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และมีบางหมู่บ้านที่ต่างจังหวัด นำเสื้อแดง ผ้าแดง มาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 ตามอย่างที่เห็นในข่าว ชาวบ้านหนองบัวน้อยและบ้านหนองบัวนาดี จึงทำตามบ้าง ทั้งนี้ เพื่อความสบายใจ ไม่ได้ห้ามปรามกัน เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ทางผู้นำชุมชน ยังได้ร่วมกับทีม 4 ทหารเสือ รณรงค์ให้ความรู้กับชาวบ้าน ในการป้องกันการแพร่ระบาด ตามนโนบายของรัฐบาลและคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.กาฬสินธุ์ อย่างเคร่งครัด และเพื่อให้ชาวบ้านทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19
ด้านนางสมบูรณ์ ภูจำปา ประธาน อสม.บ้านหนองบัวน้อย หมู่ 3 กล่าวว่า ในส่วนของการนำกิ่งพุทราที่มีหนามแหลมคมมาแขวนที่ประตูหน้าบ้านนั้น เป็นความเชื่อที่สืบสานมาหลายชั่วอายุ เริ่มจากสมัยก่อนเมื่อผู้หญิงคลอดบุตรใหม่ๆ ซึ่งเรียกว่าแม่ลูกอ่อน จะมีการเข้ากรรมหรือที่เรียกว่าการอยู่ไฟ เพื่อขับน้ำคาวปลา ให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ซึ่งอาจะอยู่ไฟนาน 15 วันหรือ 1 เดือน ตามที่สภาพร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว โดยบ้านเรือนสมัยนั้นจะยกพื้นสูง อยู่ไฟบนบ้าน การอาบน้ำหรือขับถ่ายน้ำคาวปลา ก็จะปลดปล่อยลงมาที่ใต้ถุน ทำให้เกิดน้ำขังที่เรียกว่าน้ำครำ ซึ่งน้ำครำที่เกิดจากการชำระล้างร่างกายของหญิงแม่ลูกอ่อนดังกล่าว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นอาหารโปรดของผีพรายชนิดต่างๆ เช่น ผีปอบ ผีกระสือ ซึ่งจะพากันมาสูบกินน้ำคาวปลาในยามค่ำคืนอย่างโอชะ และหากกินไม่อิ่มก็อาจจะขึ้นไปรังควานหญิงแม่ลูกอ่อน รวมทั้งเด็กทารก ให้เจ็บไข้ได้ป่วยหรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
นางสมบูรณ์กล่าวอีกว่า การอยู่ไฟของหญิงแม่ลูกอ่อน ซึ่งอาจจะเกิดอาการเจ็บป่วยของหญิงแม่ลูกอ่อนหรือเด็กทารกดังกล่าว ชาวบ้านสมัยก่อนเชื่อว่าเป็นการกระทำของพวกผีพราย ก็จะมีพิธีกรรมขับไล่ รวมทั้งจัดหากิ่งไม้ที่มีหนามแหลมคม เช่น พุทราหนาม ไผ่หนาม หนามเล็บเหยี่ยว ไปวางไว้ที่บริเวณน้ำครำ ขังอยู่ เพื่อป้องกันผีพรายมารังควาน ซึ่งผีพรายจะกลัวหนามเกี่ยวมาก โดยเล่าลือกันว่าหากหนามเกี่ยวตัวหรือตับไตไส้พุงมัน มันจะดิ้นไม่หลุด ล่องหนไปไหนไม่ได้ พอรุ่งเช้าก็จะมีคนเห็นมัน และแสงแดดจะแผดเผาให้มันตายไป มันจึงกลัวกิ่งไม้หนามดังกล่าว ดังนั้น ญาติของหญิงแม่ลูกอ่อนที่อยู่ไฟ จึงหากิ่งไม้หนามมาวางไว้เพื่อป้องกันผีพรายมารังควานดังกล่าว
นางสมบูรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า พอยุคสมัยเปลี่ยนไป หญิงแม่ลูกอ่อนไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลและไม่ค่อยอยู่ไฟ ขณะที่สังคมชนบทในฤดูแล้งมักจะมีข่าวลือเรื่องผีปอบผีแม่ม่าย ประกอบกับช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วย หลายหมู่บ้านต่างจังหวัดนำเสื้อแดงมาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 ตามที่ดูข่าวจากทีวี และประกอบกับหมู่บ้านเราซึ่งอยู่ในเขตชนบท เคยมีการนำกิ่งไม้หนามมาป้องกันผีพราย ในช่วงนี้จึงได้นำทั้งเสื้อสีแดง ผ้าแดง กิ่งพุทราหนามมาแขวนกันผีที่หน้าบ้านด้วย
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่มีการนำกิ่งใบกะเพรามาแขวนด้วยนั้น มีอุบายว่าใบกะเพรามีกลิ่นหอม ฉุน หากผีได้กลิ่นก็จะเกิดอาการจามหรือไอ ที่จะทำให้คนในบ้านรู้ว่ามันจะเข้ามาทำร้ายและหาวิธีขับไล่ ทำให้มันไม่กล้าเข้ามารังควาน ดังนั้น เสื้อแดง ผ้าแดง กิ่งพุทราหนามและกิ่งใบกะเพรา จึงเป็นเครื่องรางช่วยป้องกันโควิด-19 และผีพราย ซึ่งจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ไม่มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต และไม่มีใครติดเชื้อโควิด-19 เลย