ข่าวอาชญากรรม

บุรีรัมย์ ยายน้ำตาล่วงกู้เงินสหกรณ์ 6 หมื่นแต่ถูกเรียกเก็บต้นและดอกกว่า 4 แสนหวั่นถูกยึดบ้านที่ดิน จนท.แจงทำตามระเบียบ

ยายวัย 73 ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ น้ำตาล่วงวอนตรวจสอบและช่วยเหลือ หลังกู้เงินสหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค.บุรีรัมย์ ปี 55 วงเงิน 6 หมื่น ต่อมาปี 58 เจ้าหน้าที่ให้ทำสัญญากู้ยืมใหม่เป็นยอด 270,000 บาท พร้อมนำโฉนดที่ดิน 2 แปลงค้ำประกัน ล่าสุดมีหนังสือมาทวงถามทั้งต้นและดอกเบี้ยกว่า 480,000 บาท โอดสูงผิดปกติไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายกลัวถูกยึดบ้านที่ดิน ด้านสหกรณ์แจงยายกู้จริง 270,000 และค้างชำระต่อเนื่องจนมียอดดอกเบี้ยและค่าปรับสะสม

วันที่ 12 พ.ย. 2566 นางอุบล โลห์สุวรรณ์ หรือยายบล อายุ 73 ปี ชาวตำบลเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้นำหลักฐานออกมาร้องขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม หลังจากกู้ยืมเงินสหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค.บุรีรัมย์ จำกัด จำนวน 6 หมื่น เมื่อปี 2555 ต่อมา ปี 2558 เจ้าหน้าที่สหกรณ์ฯ เรียกให้ไปทำสัญญากู้เงินใหม่ พร้อมนำโฉนดที่ดินจำนวน 2 แปลง เป็นที่สวนและที่บ้านไปวางค้ำประกันด้วย แต่พอทำสัญญาใหม่ปี 2558 ยอดเงินกู้กลับเพิ่มเป็น 270,000 บาท โดยไม่ทราบว่าทำไมยอดถึงเพิ่มขึ้นทั้งที่ไม่ได้กู้เพิ่ม และที่ผ่านมาก็จ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือนบ้างรายปีบ้าง แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ให้เซ็นเอกสารอะไรก็เซ็น

กระทั่งล่าสุดปีนี้ มีหนังสือจากทางสหกรณ์ ฯ มาติดตามทวงถามให้ชำระเงินกู้ทั้งต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 483,799 บาท ภายในวันที่ 31 มี.ค.2567 ก็ตกใจว่าทำไมยอดถึงสูงผิดปกติ ทั้งที่ตอนแรกกู้แค่ 60,000 บาทเท่านั้น

ยายบล จึงกล่าวทั้งน้ำตาว่า อยากให้มีการตรวจสอบและช่วยเหลือด้วย เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ ทั้งกลัวจะถูกยึดบ้านและที่ดินทั้ง 2 แปลงที่นำไปวางค้ำประกันด้วย

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังสหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค.บุรีรัมย์ จำกัด เมื่อสอบถามนายอภิชัย จันทร์ศักดิ์ เจ้าหน้าที่สินเชื่อสหกรณ์การเกษตรฯ ก็ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ยายมีการกู้จริงล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2558 เป็นเงิน 270,000 บาท โดยมีโฉนดที่ดิน 2 แปลงมาวางค้ำประกัน แล้วพอปี 2558 – 2559 คุณยาย ไม่ได้ชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเลย มาจ่ายอีกทีปี 2560 ยอด ก็จะเป็นการชำระค่าเบี้ยปรับที่ค้างชำระเท่านั้น แล้วก็มาจ่ายอีกทีปี 63 – 65 แต่ก็ยังไม่พอหักต้นและดอกเบี้ยได้ ทำให้มียอดหนี้ทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับที่ค้างสะสม รวมเป็นเงินกว่า 480,000 บาท ทางสหกรณ์ฯ ยืนยันว่าดำเนินการตามระเบียบเงื่อนไขที่กำหนด และมีหลักฐานใบเสร็จการชำระมีวันที่ระบุทุกครั้ง แต่เมื่อคุณยาย ค้างชำระก็ต้องมีเบี้ยปรับตามระยะเวลา ซึ่งดอกเบี้ยปกติอยู่ที่ร้อยละ 10 ต่อปี แต่หากสมาชิกผิดนัดไม่ส่งต้นเงินและดอกเบี้ย ภายในวันที่ 31 มี.ค.ของทุกปี ก็จะปรับดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 11 บาทต่อปี และมีเบี้ยปรับอีกร้อยละ 3 บาทต่อปี รวมเป็นร้อยละ 14 บาทต่อปี อย่างไรก็ตามกรณีคุณยายก็สามารถเข้ามาพูดคุย เพื่อขอผ่อนชำระกับทางสหกรณ์ได้