ข่าวอาชญากรรม

บุรีรัมย์ ตร.ผู้นำชุมชนตรวจสอบจุดพ่อลูกและหลาน 5 ชีวิตจมน้ำมูลดับพบมีร่องลึกจากกระแสน้ำไหลเตรียมทำป้ายเตือนป้องกันเหตุซ้ำรอย

ผู้นำชุมชนในพื้นที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ร่วมกับตำรวจ สภ.ชุมพลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่พ่อลูกและหลานรวม 5 ชีวิตจมน้ำมูลดับหลังไปตักทรายบนสันริมตลิ่งเพื่อนำไปผสมปูนปูกระเบื้องที่บ้าน พร้อมทดสอบลงน้ำจุดเกิดเหตุพบมีร่องลึกและเนินดินจากกระแสน้ำไหล ไม่พบลักษณะทรายดูดตามกระแสข่าวลือ เตรียมประสานติดป้ายเตือนหวั่นเกิดเหตุซ้ำรอย

ความคืบหน้ากรณีเหตุสลดพ่อ ลูกสาว และหลานรวม 5 คน ไปตักทรายริมลำน้ำมูลตั้งแต่เช้าวานนี้ (11 ธ.ค.66) แล้วหายไปจนถึงเย็นญาติไม่เห็นกลับบ้าน จึงออกตามหากระทั่งไปพบรถอีแต็กจอดอยู่ริมน้ำมูล ทั้งพบรองเท้า กระเป๋าของเด็กวางอยู่ด้วยแต่ไม่เห็นบุคคลที่สูญหายทั้ง 5 คน จึงได้แจ้งหน่วยกู้ชีพ และกู้ภัยทั้งในพื้นที่จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ กระทั่งประมาณ 22.00 น. (11 ธ.ค.66) ก็ทยอยค้นเจอร่างผู้สูญหายจมอยู่ภายในลำน้ำมูลบริเวณ ม.15 บ.โคกกลาง ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับ บ.ท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ หน่วยกู้ภัยจึงทยอยนำร่างไร้วิญญาณของทั้ง 5 ศพขึ้นจากน้ำ เพื่อให้แพทย์ชันสูตรก่อนจะมอบศพให้ญาติกลับไปประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนสาเหตุคาดว่าหลานๆ อาจจะลงไปเล่นน้ำแล้วถูกกระแสน้ำพัด สองพ่อลูกจึงลงไปช่วย แต่จุดเกิดเหตุน้ำลึก ทำให้จมน้ำเสียชีวิตทั้งหมด

โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 5 รายประกอบด้วยนายวิริยา คัดชา อายุ 45 ปี , น.ส.นุชรินทร์ คัดชา อายุ 23 ปี ลูกสาว , ด.ญ.อั้ม อายุ 14 ปี, ด.ญ.ญาญ่า อายุ 11 ปี และ ด.ช.โฟม อายุ 8 ขวบ ซึ่งทั้ง 3 เป็นหลานของนายวิริยา ญาติได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่สำนักสงฆ์บูรพา ม.2 ต.กระสัง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวและญาติ ก็มีญาติพี่น้องและชาวบ้านมาแสดงความเสียใจและให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งญาติมีกำหนดจะประกอบพิธีฌาปนกิจศพเผากองฟอนวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

ล่าสุดวันที่ 12 ธ.ค. 2566 ผู้นำชุมในพื้นที่อำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ชุมพลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่พ่อลูกและหลานจมน้ำเสียชีวิตในลำน้ำมูลอีกครั้ง ก็พบลักษณะทางกายภาพบางจุดเป็นเนินทรายบางจุดเป็นร่องลึกจากกระแสน้ำไหล ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันนายอนุชิต เยี่ยมรัมย์ ผู้ใหญ่บ้านท่าเรือ ยังได้ทดสอบลงน้ำตรงจุดที่เกิดเหตุพบบางช่วงเป็นเนินทราย แต่พอเดินต่อไปอีกนิดเดียวกลับเป็นร่องน้ำลึก ซึ่งในน้ำจะไม่ได้เป็นพื้นราบแต่เมื่อลงไปในน้ำจะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าจุดไหนเป็นร่องลึก ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเด็กๆ ที่ลงเล่นน้ำช่วงที่ลุงกำลังตักทรายอยู่บนสันตลิ่งลำน้ำมูล อาจจะตกลงไปในร่องลึกแล้วพ่อลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะลงไปช่วย จนทำให้จมน้ำเสียชีวิตไปด้วยกันทั้ง 5 คน ส่วนกระแสข่าวที่ว่าถูกทรายดูดนั้น จากการตรวจสอบแล้วไม่พบลักษณะของทรายดูดทรายดูดแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้เดินทางไปยังบ้านของนายวิริยา คัดชา หนึ่งในผู้เสียชีวิตที่พาลูกและหลานไปตักทรายเพื่อมาปูกระเบื้องที่บ้าน ก็พบบริเวณห้องครัวมีการปูกระเบื้องจริงได้ประมาณ 3 แถว และยังพบอุปกรณ์เช่น กระบะผสมปูน ฉาบ และกระเบื้องที่ยังอยู่ในกล่องด้วย

จากการสอบถาม น.ส.บังอร ภรรยา บอกว่า ปกติสามีทำงานเป็น อปพร. ส่วนตนก็รับจ้างทั่วไปช่วงไหนมีเงินก็จะต่อเติมบ้านไปเรื่อย ล่าสุดกำลังปูกระเบื้องห้องครัวสามีก็จะไปเอาทรายที่ริมลำมูลมาผสมปูนเพื่อปูกระเบื้อง ก็ไม่ได้ใช้ปริมาณมากจึงขับรถอีแต็กไปขนเอง และอาจจะอยากพาลูกหลานไปเล่นน้ำด้วย ก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุสลดแบบนี้ขึ้นก็เสียใจเพราะสูญเสียทั้งสามีลูกและหลาน ส่วนเรื่องบ้านก็ตั้งใจว่าหากหาเงินได้ก็จะจ้างช่างมาปูกระเบื้องให้เสร็จสานต่อเจตนาของสามีต่อไป ก็ขอให้

ด้านนางสุนีย์ ดีเสมอ อายุ 51 ปี ยายของ ด.ญ.สุภาวิดา หรือน้องญาญ่า เรียนอยู่ชั้น ป.5 และ ด.ช.ศิริศักดิ์ หรือน้องโฟม เรียนชั้น ป.2 เล่าทั้งน้ำตาว่า ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียหลานไปพร้อมกันถึง 2 คน แต่ก็ไม่ได้ติดใจเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุเพราะคนที่พาไปเขาก็เสียชีวิตทั้งพ่อและลูกเหมือนกัน และที่ผ่านมาหลานก็ไปเล่นด้วยกันบ่อย ส่วนตัวหลานว่ายน้ำไม่เป็นคิดว่าหลานอาจจะพากันลงไปเล่นน้ำแล้วพ่อลูกที่พาไปคงจะลงไปช่วยจนจมน้ำเสียชีวิตพร้อนกันทั้งหมด เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าตอนที่เจอศพทั้งน้องญาญ่า และน้องโฟม หลานทั้ง 2 คนยังกอดกันอยู่เลย

ขณะที่นายกฤษณศักดิ์ ศาลางาม ผู้นำชุมชนเขต อ.สตึก ระบุว่า สภาพบริเวณจุดเกิดเหตุพบว่าบางจุดเป็นเนินทราย แต่บางจุดก็เป็นร่องน้ำลึก ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดจากกระแสน้ำไหล และช่วงน้ำขึ้นน้ำลด ทั้งคาดว่าคนที่พาหลานมาตักทรายและเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเขาเอง 15 กม. อาจจะไม่คุ้นเคยกับสภาพลำน้ำมูลด้วย จึงทำให้เกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้น ซึ่งก็จะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝั่ง อ.สตึก และ อ.ชุมพลบุรี ประชาสัมพันธ์พร้อมติดป้ายแจ้งเตือนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก ส่วนที่ชาวบ้านมาตักเอาทรายตามริมมูลก็เป็นวิถีปกติ ซึ่งก็มีชาวบ้านมาตักไปใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเรื่อยๆ เพราะเขาเอาไปปริมาณไม่เยอะและไม่ได้เอาไปขายหรือเชิงธุรกิจ ผู้ดูแลเขาจึงไม่ได้ห้าม