ประชาสัมพันธ์

สุรินทร์ เพจมูลนิธิเป็นหนึ่ง ลุยช่วยสาวโดดข่มขืน-ทำร้าย

จากกรณีมีประชาชนแจ้งเรื่องมาที่เพจ “เป็นหนึ่ง” ว่ามีหญิงสาวชาวจังหวัดสุรินทร์คนหนึ่ง ถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้าน จนเธอเสียใจอย่างหนัก และได้ย้ายมาอยู่กับพี่สาวที่กรุงเทพฯ ซึ่งในระหว่างอยู่กับพี่สาว เธอก็มักมีอาการเหม่อลอย ซึมเศร้า และเดินไปไหนคนเดียวอยู่ตลอด จนกระทั่งเธอหายไป 1 คืน จนเช้าอีกวันเธอกลับมาบ้านพี่สาว และมีอาการหวาดกลัวผู้ชาย และสภาพร่างกายมีแต่ร่องรอยบาดแผล รอยฟกช้ำตามตัว ไม่ยอมตอบ จนได้กลับบ้านที่จังหวัดสุรินทร์ และมีอาการผิดปกติมีท้องโตขึ้น พร้อมกับมีอาการทางจิตอยู่แล้ว จึงซื้อที่ตรวจครรภ์มาเพื่อให้เธอตรวจ ผลออกมาคือ 2 ขีด มีการตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์ จนไม่สามารถทราบได้ว่าใครคือพ่อเด็ก

ล่าสุดวันที่ 25 ต.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของผู้เสียหาย ตั้งอยู่ที่ บ้านโคกป่าจิกตำบลปรือ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ พบว่าสภาพบ้านชั้นเดียวปูนสังกะสี ค่อนข้างทรุดโทรม ข้างบ้านสังเกตเห็นว่าจะมีตัวถังใส่น้ำเปล่าๆ ตั้งวางเรียงตามจุดที่น้ำไหลลงหลังคา เพื่อให้น้ำไหลงใส่ถังต่อเพื่อใช้ดื่มกินและตรวจสอบดูโดยรอบของบ้านค่อนข้างยากจน หลังคารั้วขนาดใหญ่ บริเวณห้องส้วมที่ไม่มีหลังคา ส่วนประตู ใช้เพียงถุงปุ๋ยปิดกั้นเอาไว้ พร้อมกับสภาพสีน้ำที่ไม่สะอาด ถัดไปนั้นยังพบว่าบริเวณใกล้เคียงพบเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ ข้างทุ่งนา ที่น้ำไม่สามารถไหลผ่านได้ เป็นจุดสำหรับอาบน้ำ ซักผ้า ของคนในครอบครัว และพบว่าสีน้ำขุ่นข้น ไม่สะอาดเป็นอย่างมาก

น้องมิ้น อายุ 25 ปี (เสื้อสีฟ้า) ผู้เสียหาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนเองมีปัญหากับทางแม่สามี เขาจึงขับไล่ออกจากบ้าน และไม่ต้องการให้คบหากันอีก ตนเองจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านกับแม่ แต่ต่อมาทราบว่าพี่สาวตนเองทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จึงอยากที่จะเดินทางไปหาพี่สาว ระหว่างที่อยู่อาศัยกับพี่สาว จำได้แค่ว่าถูกข่มขืน หลังจากที่เดินออกไปข้างนอก แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนข่มขืน พอหลังจากนั้นมาตนเองก็ขอกลับไปอยู่ที่บ้านที่สุรินทร์ จนมารู้ตัวอีกทีว่าตนเองตั้งครรภ์ 4 เดือนแล้ว เชื่อว่าที่ตนเองตั้งครรภ์เป็นเพราะชายที่ตนเองไม่รู้จักที่กรุงเทพฯ ดังกล่าว แต่ไม่ใช่ลูกของสามีแน่นอน เพราะเลิกรากันไปนานแล้ว และไม่ได้พบเจอกันอีกเลย ทั้งนี้ตนเองได้ตัดสินใจแล้วว่า จะเอาลูกในท้องออก เพราะเลี้ยงดูไม่ไหว เนื่องจากตนเองเป็นโรคภาวะทางจิตที่ไม่เป็นปกติ ด้วยสภาพทางบ้านและครอบครัว

ด้านนางสาวนันทิชา เรืองสุขสุด (เสื้อยืดลายทางสีน้ำตาล) อายุ 30 ปี พี่สาวผู้เสียหาย เล่าว่า ช่วงที่น้องสาวขอไปอยู่อาศัยกับตนเองที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยมีใครได้ช่วยดูแลน้องสาว เพราะตนเองและสามีต้องออกไปทำงาน จึงทำได้แค่ช่วยล่ามไว้ ปิดประตูขังไว้ในห้อง เพราะน้องสาวไม่ปกติ มีโรคภาวะทางจิต จนบางครั้งกลางค่ำกลางคืนน้องสาวแอบเดินออกจากบ้านไปเอง ตนเองออกตามหาก็ไม่เจอ จนเช้ามาน้องสาวเดินกลับมาบ้านเอง แต่ลักษณะสีหน้าที่เงียบ นิ่ง ไม่พูดจา ท่าทางหวาดกลัว ยิ่งถ้าเจอผู้ชายจะยิ่งมีอาการหวาดกลัวมากกว่าปกติ จนน้องสาวขอกลับบ้านที่สุรินทร์ และมาทราบข้อมูลว่าตั้งครรภ์แล้ว ทำให้ไม่ทราบเลยว่าใครคือพ่อของเด็ก ตนเองพยายามถามเท่าไหร่น้องสาวก็ไม่ยอมตอบ ไม่พูดอะไร ซึ่งตอนนี้สิ่งที่อยากให้ช่วยเหลืออันดับแรกคือเรื่องของสภาพบ้าน เพราะอยู่อาศัยกันอย่างยากลำบากมาก ส่วนเรื่องการจะเอาเด็กออกหรือไม่นั้น จะให้เป็นน้องสาวตัดสินใจเอง

ขณะเดียวกันทีมข่าวเราได้เข้าไปสำรวจดูภายในบ้านของผู้เสียหาย โดยมีนางนิลศรี เรืองสุขสุด อายุ 54 ปี แม่ของผู้เสียหาย พาทีมข่าวไปดูตามจุดต่าง ๆ ของบ้านที่ชำรุด หลังคาบ้านที่เป็นรูรั่ว และหลอดไฟแค่ดวงเดียวที่ไฟมีปัญหาคิดๆดับๆ

นางนิลศรี บอกว่า ตนเองอยู่บ้านหลังนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ที่สามีเสียชีวิต อยู่กันลำบากมาก บางครั้งต้องเดินไปขอข้าวจากเพื่อนบ้านกิน เพราะด้วยฐานะยากจน ทุกครั้งที่ฝนตกหลังคารูรั่ว ก็ต้องนอนกันแบบเปียกๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกสาวที่เป็นผู้เสียหายก็อยู่ด้วยกัน แต่ไม่นานเขามีแฟนก็ขอย้ายไปอยู่ที่บ้านแฟน จนมีปัญหาทางครอบครัวแฟนเขา ไม่ให้รักชอบกัน ก็ขับไล่ลูกสาวมาอยู่ที่บ้านกับตนเอง กระทั่งลูกสาวขอย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ กับลูกสาวคนโต หรือพี่สาว ผ่านไป 3 เดือน กลับมาหาตนเองที่บ้าน ก็ได้รู้ว่าลูกสาวตั้งครรภ์แล้ว ตนเองเสียใจที่ต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกสาว แต่อย่างไรก็ตามให้เขาตัดสินใจเอง ว่าจะเลือกทางแบบไหน เพราะส่วนตัวถ้าเอาเด็กออกก็กลัวผลบาป

จากนั้นเวลา 13.00 น. ทางเจ้าหน้าที่พมจ.สุรินทร์และย้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ได้เดินทางเข้ามาที่บ้านของผู้เสียหาย มีการนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น มามอบให้กับทางคนในครอบครัวและทำการสอบถามข้อมูลจำนวนคนอยู่อาศัย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับทางผู้เสียหาย ขณะเดียวกันก็มีคุณต้นอ้อ เจ้าของเพจมูลนิธิเป็นหนึ่ง เดินทางเข้ามาหาทางช่วยเหลือทางครอบครัว และช่วยประสานงานกับทางพมจ. เพื่อให้ช่วยประสานงานกับทางโรงพยาบาลให้ช่วยเหลือผู้เสียหาย หาทางออกร่วมกัน

คุณต้นอ้อ เจ้าของเพจมูลนิธิเป็นหนึ่ง บอกว่า หลังจากที่มีการพูดคุยร่วมกันกับทางครอบครัว และตัวของผู่เสียหายเอง ได้ตัดสินใจแล้วว่า เอาเด็กในท้องออก เพราะต้องเอาตัวน้องผู้เสียหายเป็นที่ตั้ง ซึ่งน้องต้องอุ้มท้อง 9 เดือน และไม่รู้ว่าเด็กในท้องจะปกติหรือไม่ ที่สำคัญตัวผู้เสียหายเอง ก็ยังต้องรับยาจิตเวชอีกด้วย จึงยุติการตั้งครรภ์ เพื่อระงับในสิ่งที่เราไม่ทราบได้ว่าเด็กในท้องจะพิการหรือไม่ ถ้าหากคลอดแล้วพิการ ที่บ้านจะเลี้ยงดูกันอย่างไร สภาพบ้านที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งตอนนี้ได้ประสานกับทางโรงพยาบาลแล้ว วันนี้ก็จะพาผู้เสียไปแอดมิด

ด้านนางสาวปทุมพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้ากลุ่มการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สนง.พมจ.สุรินทร์ บอกว่า แนวทางการช่วยเหลือ เรื่องแรกจะดูแลตัวผู้เสียหายก่อน คือการพาไปโรงพยาบาล เพื่อยุติการตั้งครรภ์น้อง ส่วนหลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องการดูแลทางครอบครัว การปรับบ้าน ซึ่งในส่วนนี้น้องเป็นคนพิการมีบัตรประจำตัวคนพิการ การดูแลในเรื่องการปรับบ้านคนพิการ แต่ถ้าหากพี่สาวของผู้เสียหาย จะมาอยู่ดูแลน้องที่บ้าน ก็จะเอาตัวน้องเข้าสู่ครอบครัวอุปการะโดยจะมีเงินเดือนให้กับพี่สาวทุกเดือน เพื่อจะเป็นทุนที่จะดูแลน้องต่อ และจะมีเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัวเบื้องต้นด้วย ไม่เกิน 4 หมื่นต่อหลัง