ข่าวสังคม

สาวบุรีรัมย์ โร่แจ้ง ตร. ร้องสภาทนายตรวจสอบเอาผิดทนายเบี้ยวทำคดีหลอกเรียกเงินกว่า 6 หมื่น

หญิงวัย 43 ชาวบุรีรัมย์ โร่นำหลักฐานสลิปโอนเงินข้อความสนทนาแจ้งตำรวจ และร้องสภาทนายความ ตรวจสอบเอาผิดทนายความสุดแสบ หลอกเรียกรับเงินกว่า 6 หมื่น แต่เบี้ยวทำคดีฟ้องมรดกตามที่ตกลงกัน ผ่านไปกว่า 5 เดือนยังไม่ดำเนินการอะไร จี้คืนเงินและเรียกร้องให้สอบเอาผิดมรรยาททนาย ด้านทนายที่ถูกร้องยันอยู่ระหว่างดำเนินการไม่ได้เบี้ยว แต่หากลูกความต้องการเปลี่ยนทนายก็เป็นสิทธิ์

วันที่ 26 ก.พ. 2567 นางสาวอนุมาศ รินทร์จันทร์ อายุ 43 ปี ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้นำหลักฐานสลิปการโอนเงินและข้อความการสนทนาผ่านแอพพลิเคชันไลน์ เข้าแจ้งความที่ สภ.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ และเข้าร้องต่อสภาทนายความ ให้ตรวจสอบเอาผิดกับทนายความคนหนึ่งในอำเภอ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยอ้างว่าทนายความดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกเรียกรับเงินกับคนในครอบครัวรวมจำนวน 66,000 บาท เพื่อทำคดีฟ้องมรดกแต่กลับเบี้ยวเพราะผ่านไปกว่า 5 เดือน ยังไม่เห็นดำเนินการอะไรให้ แต่พอสอบถามความคืบหน้าว่าดำเนินการถึงไหนแล้วบ้าง กลับแสดงความไม่พอใจ แถมยังส่งเอกสารใบคำฟ้องที่ทำขึ้น ที่อ้างว่าได้ทำเรื่องฟ้องต่อศาลไปแล้วส่งมาให้ดู แต่พอไปสอบถามที่ศาลกลับได้รับคำตอบว่ายังไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคดีที่ทางครอบครัวให้ทนายคนนี้ทำคดีฟ้องเรื่องมรดกให้เข้าสู่ศาลเลย จึงได้พยายามติดต่อสอบถามทนายความคนดังกล่าวไปอีก เพื่อจะสอบถามแต่กลับติดต่อไม่ได้ จึงเชื่อว่าน่าจะถูกหลอกเรียกรับเงินแต่ไม่ทำคดีให้ จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความและร้องต่อสภาทนาความ เพื่อให้ตรวจสอบเอาผิดกับทนายความดังกล่าว ทั้งกรณีหลอกเรียกรับเงินและมรรยาททนายความ

น.ส.อนุมาศ เล่าว่า ตอนไปงานเลี้ยงรุ่นเมื่อปี 2566 ได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งเพื่อนก็บอกว่าเขาเป็นทนายความของธนาคารแห่งหนึ่ง ก็มีการพูดคุยปรึกษาเรื่องจะฟ้องคดีมรดกของทางครอบครัว แต่เขาบอกว่าจะแนะนำทนายอีกคนหนึ่งให้เพราะเขาออกตัวไม่ได้ แต่ก็จะคอยประกอบหรือดูแลให้อีกที หลังจากนั้นเพื่อนที่บอกว่าเป็นทนายก็พาทนายคนดังกล่าวมาหาที่บ้าน เมื่อช่วงเดือน ต.ค.2566 แล้วก็มีการพูดคุยกัน จากนั้นทางครอบครัวก็ตกลงแต่งตั้งให้ทนายคนนี้ว่าความให้ โดยครั้งแรกได้โอนเงินให้ 30,000 บาท กระทั่งผ่านไปอีกประมาณ 1 เดือน ก็มีการมาพูดคุยกันที่บ้านอีกครั้ง แล้วเขาเอาเอกสารโฉนดที่ดินไป ก็ให้จ่ายเงินอีก 30,000 บาทก็โอนให้ครั้งที่สอง จากนั้นก็ปล่อยให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน ซึ่งบางครั้งเขาก็มีการสื่อสารกับหลานบ้างเพราะบางครั้งตนไม่อยู่ แล้วก็มาเอาเงินเพิ่มอีก 6,000 บาทเป็นครั้งที่สาม บอกว่าจะไปเดินเรื่องอะไรที่ศาล ก็โอนให้ไปรวม 3 ครั้งเป็นเงิน 66,000 บาท ทางครอบครัวไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมายและไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล พอเพื่อนที่รู้จักกันสมัยเรียกแนะนำให้รู้จักทนายความนี้ มาทำคดีให้เราก็เชื่อใจ แต่พอสอบถามว่าทำคดีไปถึงไหนแล้วเขาก็บอกแต่ว่ารอศาลๆ ส่งคำฟ้องไปที่ศาลแล้ว แต่ทางครอบครัวไม่สบายใจเพราะได้โอนเงินไปแล้วกว่า 6 หมื่น และเวลาก็ผ่านไปนานกว่า 5 เดือนแล้ว ทำไมไม่เห็นมีความคืบหน้าอะไรเลย

วันที่ 20 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ทางครอบครัวจึงตัดสินใจเดินทางไปศาลจังหวัดนางรอง เพื่อสอบถามว่ามีการยื่นคำฟ้องแล้วหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีการยื่นคำฟ้องเคสของครอบครัวตนมายังศาลแต่อย่างใด จึงได้เข้าแจ้งความและร้องต่อสภาทนายความให้ตรวจสอบเอาผิดทนายคนดังกล่าว ทั้งอยากได้เงินคืน เพื่อจะได้ไปจ้างทนายความคนอื่นมาทำคดีให้

ด้านนายวิทยา วัฒนะ ประธานสภาทนายความศาลจังหวัดนางรอง กล่าวว่า เบื้องต้นหลังได้รับการร้องเรียน ก็จะได้ตรวจสอบว่ามีพยานหลักฐานใดที่บ่งบอกว่าได้จ้างทนายความคนดังกล่าวไปทำคดี หากตรวจสอบแล้วมีหลักฐานเชื่อว่าทนายความคนดังกล่าวได้กระทำผิดตามมรรยาททนายความจริง ทางสภาทนายศาลจังหวัดนางรอง ก็จะทำเรื่องส่งสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อตั้งกรรมการสอบทนายความที่ถูกร้องเรียน หากผิดจริงก็จะพิจารณาลงโทษตามลำดับขั้นตอนต่อไป

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลกับทนายความคนที่ถูกร้องเรียน ก็ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้เคยแจ้งกับลูกความไปแล้วว่า การทำงานเรื่องคดีมรดกที่ดินอาจจะมีความล่าช้าบ้าง แต่ที่ผ่านมาตนก็ได้ไปคัดสำเนาจากกรมที่ดินมาและเตรียมร่างฟ้องให้แล้ว ไม่ได้เจตนาจะหลอกหรือเบี้ยวในการทำคดี แต่หากผู้ร้องต้องการอยากได้เงินคืนก็พร้อมจะคืนให้ แต่ก็ต้องมีการพูดคุยกันเพราะตนก็ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน แต่ถ้าจะให้คืนทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นธรรมกับตนเหมือนกัน ซึ่งก็จะได้ติดต่อพูดคุยกับทางผู้ร้องอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าตนทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพทนายความอย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา