ข่าวอาชญากรรม

ศรีสะเกษ คืบหน้าพ่อหลอนยาจับลูกสาวกับเมียขังไว้ในบ้านเกรงถูกฆ่าขณะนี้ยังไม่ปล่อยตัวเมียที่ได้รับบาดเจ็บไปหาหมอและยังคงปิดประตูข้างตัวเองกับลูกเมียอยู่ในบ้าน ขณะที่ ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เผยผู้ก่อเหตุเครียดเพราะเกรงว่า เมียจะหนีไปทำงานที่ จ.ระยอง ยันผู้ก่อเหตุไม่มีประวัติเสพยาบ้าและไม่มีผู้ใดยืนยัน ปล่อยให้อยู่ตามลำพังกับลูกเมียในบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ได้เกิดเหตุนายอลงกรณ์หรือกบ ได้เกิดอาการหลอนยาและได้จับลูกเมียเอาไว้ในบ้านโดยถือมีดอีโต้เอาไว้แล้วอุ้มลูกสาวไว้แนบอกตะโกนห้ามผู้ใดเข้าไปใกล้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยรวมทั้งเจ้าหน้าที่พยาบาลได้มาคอยช่วยเหลือและพร้อมเข้าระงับเหตุร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยภรรยาได้รับบาดเจ็บที่บริเวณข้อศอกขวา ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ถอนตัวออกไปเนื่องจากนายกบต้องการอยู่ตามลำพังกับลูกเมียในบ้าน และล่าสุดอาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวได้ลงไปตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่งในบ้านหนองแก้ว ต.หนองแก้ว อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุได้พบกับนายพจน์อายุ 34 ปีซึ่งเป็นลุงของนายกบกำลังยืนบริเวณหน้าต่างพูดคุยกับนายกบและหลานสาวอายุ 5 ขวบซึ่งนายกบยังคงขังลูกเมียอยู่ในบ้านโดยมีเสียมด้ามยาวตั้งอยู่ข้างในบ้าน นายกบได้พูดคุยกับนายพจน์ว่า ตนไม่ยอมให้ลูกเมียออกไปไหน หากลูกเมียออกไปนอกบ้าน ตนจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน หากจะต้องตายก็ขอตายภายในบ้านกับลูกเมีย เนื่องจากมีอาการหลอนเกรงว่าจะมีคนเข้ามาฆ่าตนเอง

นายกบ หนุ่มผู้ก่อเหตุบอกว่า เมื่อวานนี้ตนกลับขึ้นมาจากนากำลังเดินมาที่บ้านก็พบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรถพยาบาลและรถกู้ภัยเต็มอยู่หน้าบ้าน ตนเกิดอาการกลัวมากซึ่งปกติแล้วตนก็อยู่กับครอบครัวลูกเมียตามปกติ แต่เมื่อเห็นคนมาบ้านจำนวนมากตนก็มีอาการหวาดกลัวเกรงว่า คนเหล่านั้นจะมาฆ่า ตนจึงต้องนำลูกเมียมาไว้ในบ้านและปิดประตูขังตนเองกับลูกเมียเอาไว้ในบ้าน ถ้าตนปล่อยลูกกับเมียออกไปจะต้องมีคนเข้ามาฆ่าตนอย่างแน่นอน หากว่าตนจะถูกฆ่าตายตนขอตายพร้อมกับลูกเมียอยู่ในบ้านหลังนี้และจะไม่ยอมเปิดประตูให้ใครเข้าไปในบ้านอย่างเด็ดขาด

ต่อมานางเหลา อายุ 47 ปี แม่ภรรยาของนายกบได้ออกมาพบกับหลานที่ยืนอยู่ที่บริเวณหน้าต่างภายในบ้าน และได้ตะโกนร้องเรียกลูกสาวซึ่งเป็นภรรยาของนายกบ แต่ว่าก็ไม่ได้ยินเสียงตอบเนื่องจากนายกบไม่ยอมให้พูดอะไร ภรนยาของนายกบ ยังคงนอนอยู่ในบ้านที่มีการนำเอาตู้เย็นและตู้เสื้อผ้ามากั้นเป็นห้องนอนเอาไว้ ซึ่งนายกบได้เดินมาที่ประตูหน้าบ้านและได้เปิดประตูให้หลานวิ่งออกมาหายายคือนางเหลา โดยจะให้นางเหลาเข้าไปในบ้าน แต่ปรากฏว่าเมื่อลูกสาวอายุ 5 ขวบวิ่งออกมาจากบ้าน นายพจน์ได้เข้าไปอุ้มเอาหลานสาวออกมาบอกว่าจะพาออกไปกินข้าว ทำให้นายกบโมโหมากและปิดประตูบอกว่าจะฆ่าเมียทิ้งหากไม่นำเอาลูกสาวเข้ามาให้ตนในบ้าน ทำให้นายพจน์ซึ่งเป็นลุงต้องนำเอาหลานสาวไปส่งคืนให้กับ นายกบ จากนั้นนายกบได้ปิดประตูบ้านเงียบไม่ยอมเปิดออกมาอีกเลย

นางเหลา กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ขณะนี้ตนมีความห่วงใยลูกสาวเป็นอย่างมากเพราะว่าได้รับบาดเจ็บที่แขนข้างขวาแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเนื่องจากนายกบไม่ยอมเปิดประตูบ้านออกมา ทำได้เพียงเฝ้ารออยู่หน้าบ้านของนายกบเท่านั้น จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

นายพจน์ อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นลุงของนายกบ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายกบกับครอบครัวก็อยู่กันตามปกติ แต่ต่อมานายกบมีอาการหลอนยาจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ซึ่งตนได้พยายามเจรจาเพื่อขอให้นายกบ เปิดประตูเพื่อจะได้นำภรรยาของนายกบที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อศอกขวาไปหาหมอ แต่ว่านายกบไม่ยอมปล่อยลูกเมียออกมาอ้างว่าหากปล่อยลูกเมียออกมาจะทำให้ตนเองโดนคนบุกเข้ามาฆ่าตาย ซึ่งตนก็คงช่วยเหลือได้เพียงซื้อกับข้าวและอาหารต่างๆมาให้ เพราะไม่เช่นนั้นลูกสาวและภรรยาของนายกบที่กำลังได้รับบาดเจ็บอาจจะได้รับผลกระทบมาก ซึ่งขณะนี้ที่ตนเป็นห่วงก็คือภรรยาของนายกบซึ่งกำลังได้รับบาดเจ็บ หากไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาอาจจะได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

ทางด้าน พล.ต.ต.พิษณุ วัตถุ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า สาเหตุที่นายกบเครียดนั้นจากการตรวจสอบทราบว่า นายกบมีอาการเครียดเนื่องจากไม่มีงานทำอีกทั้งไม่อยากปล่อยให้เมียไปทำงานอยู่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วไม่พบว่านายกบมีประวัติในการเสพยาแต่อย่างใด และไม่มีผู้ใดยืนยันในเรื่องนี้ ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ ตร.จึงได้ให้นายกบอยู่ตามลำพังกับครอบครัวและขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นนายกบไม่มีอาการที่รุนแรงแต่อย่างใด ซึ่งตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตร.คอยสังเกตการณ์อยู่ หากมีเหตุการณ์รุนแรงก็จะสามารถเข้าไประงับเหตุและช่วยเหลือได้ทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะรายงานข่าว นายกบ ยังไม่ได้เปิดประตูบ้านปล่อยลูกเมียออกมาจากในบ้านแต่อย่างใด โดยมีญาติพี่น้องคอยเฝ้าดูอยู่ด้วยความห่วงใย