ผู้ประกอบการโรงสีรายใหญ่แห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรแล้วสีเป็นข้าวสารขายทั้งในไทยและส่งให้กับผู้ส่งออกข้าว 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ มั่นใจข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา มีคุณภาพมาตรฐานและเป็นที่นิยมของตลาดโซนยุโรป เชื่อกระแสที่แพ้การประกวดปีที่ผ่านมา ไม่มีผลกระทบเพราะมียอดสั่งซื้อส่งออกต่อเนื่อง ชี้ตลาดข้าวไทยกับเวียดนามคนละกลุ่ม
วันที่ 8 ธ.ค. 2566 นายศุภสิทธิ์ อึ้งพัฒนากิจ เจ้าของโรงสีสหพัฒนาค้าข้าว อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงสีข้าวรายใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรจากหลายอำเภอใน จ.บุรีรัมย์ และบางอำเภอใน จ.สุรินทร์ แล้วสีแปรรูปเป็นข้าวสารขายในประเทศ และขายให้กับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ถึง 5 บริษัทอันดับต้นๆของประเทศ ได้ออกมาระบุ ถึงกรณีที่ไทยเสียแชมป์การประกวดข้าวให้กับเวียดนามเมื่อปีที่ผ่านมา และปีนี้ไทยก็ไม่ส่งข้าวเข้าร่วมประกวดด้วย อาจจะมีผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวของไทยนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่มีผลกระทบแน่นอน และยังเชื่อมั่นว่าข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา มีคุณภาพมาตรฐานมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ทั้งกลิ่นหอม นุ่ม และหุงขึ้นหม้อ และยังคงได้รับความนิยมจากตลาดต่างประเทศในโซนยุโรป และจีน เพราะยังมียอดการสั่งซื้อจากผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ก็มีออเดอร์ส่งตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จนถึงเดือน ธ.ค.นี้ก็ยังขายให้ผู้ค้าส่งเรื่อยๆ มองว่าตลาดส่งออกข้าวของเวียดนามกับไทย เป็นคนละกลุ่มกัน ซึ่งตลาดส่งออกส่วนใหญ่ของไทยจะเป็นโซนยุโปมากกว่า ก็ขอการันตีว่าข้าวไทยยังมีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับตลาดต่างประเทศ เพราะผู้ส่งออกแต่ละรายเองก็ต้องมีการตรวจคุณภาพมาตรฐานข้าว ก่อนที่จะรับซื้อจากโรงสีต่างๆ อย่างเข้มงวดก่อนที่จะส่งออกตลาดประเทศ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐานข้าวของไทย รัฐบาลเองก็ควรจะเข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน เพื่อรักษามาตรฐานไว้
สำหรับโรงสีของตนเองปีนี้มีปริมาณรับซื้อข้าวเปลือกแล้วกว่า 1 หมื่นตัน มากกว่าปีที่ผ่านมา และมีกำลังการผลิตหรือสีแปรรูปเป็นข้าวสารได้เฉลี่ยวันละ 2,400 ตัน ซึ่งแต่ละปีข้าวที่รับซื้อจากเกษตรกรก็จะขายให้กับผู้ส่งออกประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็ขายในไทย ส่วนการตรวจสอบคุณภาพข้าวก็จะดูตั้งแต่ที่รับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา หากมีข้าวปนก็จะไม่รับซื้อเพื่อรักษาคุณภาพข้าวเช่นกัน